ตามจริงโรคเบาหวาน เป็นโรคที่คุ้นหูกันพอควร โรคนี้พบบ่อยขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะผู้คนสนใจสุขภาพกันมากขึ้น หมั่นตรวจสุขภาพ และเทคโนโลยีทางการตรวจเบาหวานดีขึ้นมาก แต่ถึงอย่างไร แม้เราจะมีแพทย์ผู้เชี่ยยวชาญมากมาย หรือเทคโนโลยีทันสมัยปานใด ปัจจุบันเราก็ยังพบ โรคแทรกซ้อนจากเบาหวานได้บ่อยอยู่ เช่น ไตวาย ตาบอด แผลติดเชื้อ ทำให้ต้องตัดขาพิการไป ซึ้งยังไม่รวมอย่างอื่นๆ เช่น อัมพาต หัวใจตีบ
จะว่าไปแล้ว เบาหวานก็คล้ายๆ กับโรคอีกหลายโรค มักจะพูดถึงว่าเป็นเพื่อนกัน มักมาด้วยกัน คือ ความดันโลหิตสูง, ไขมันสูง, เก๊าท์ และถ้าเป็นพร้อมๆ กัน ทำให้การดำเนินโรค การรักษา มีภาวะแทรกซ้อนเร็วขึ้น รุนแรงขึ้น โรคที่กล่าวมาส่วนใหญ่ ไม่มีอาการระยะเริ่มแรก เมื่อโรคเป็นมากแล้ว ถึงค่อยแสดงอาการ บางครั้ง เมื่อเราไม่ค่อยสนใจสุขภาพเท่าที่ควร ก็จะทำให้วินิจฉัยและรักษาล่าช้า จนทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต จริงๆ แล้ว ก็ไม่อยากให้ตกใจ หรือตื่นกลัว, กังวลมากเกินไป เกี่ยวกับโรคที่เป็น เพราะเมื่อเป็นแล้วต้องทำใจ และยอมรับ เพราะของมันเป็นกันได้ (สังขารไม่เที่ยง) ซึ่งถ้าเราปฏิบัติตัวดี เหมาะสม ก็จะมาสารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่นคนที่ไม่เป็นโรคทั่วไป
ปัจจุบัน วิถีชีวิตคน (ไทย) เปลี่ยนไปมาก ทั้งในด้านสังคม ซึ่งนับวันจะมีความเครียดสูง, ทำงานแข่งกับเวลา หรือแข่งกันทุกๆ อย่าง ขาดกาออกกำลังกาย และพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม คือกินมากไปและไม่มีคุณภาพ ไม่รวมถึงสารพิษ ที่เต็มใจบริโภคกันเข้าไปอีก เช่น บุหรี่และแอลกอฮอล์ จึงก่อให้เกิดการเกินพอดี เนื่องจากกินมามากและสะสมานาน ขาดการออกกำลังกาย
พออายุเลย 40 ปีไปแล้ว ชีวิตก็เหมือนดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงพอดี จากนั้นก็เริ่มบ่ายคล้อยลงเรื่อยๆ อาหาร พลังงาน จะเริ่มต้องการน้อยลง ดังนั้น ถ้าเรากินเท่าเดิมก็ยังเกินเลยนะ ดังนั้น ควรบริโภคให้น้อยลงบ้าง และเน้นคุณภาพ เรื่องกินนี้เรื่องใหญ่ พอเกินจนล้น ก็เกิดโรคเบาหวาน ไขมันสูง เก๊าท์ น้ำหนักมากเกินไป กลายเป็นโรคความดันโลหิตสูง หัวใจ ไขข้อ ตามมาอีกพรวน
พออายุเลย 40 ปีไปแล้ว ชีวิตก็เหมือนดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงพอดี จากนั้นก็เริ่มบ่ายคล้อยลงเรื่อยๆ อาหาร พลังงาน จะเริ่มต้องการน้อยลง ดังนั้น ถ้าเรากินเท่าเดิมก็ยังเกินเลยนะ ดังนั้น ควรบริโภคให้น้อยลงบ้าง และเน้นคุณภาพ เรื่องกินนี้เรื่องใหญ่ พอเกินจนล้น ก็เกิดโรคเบาหวาน ไขมันสูง เก๊าท์ น้ำหนักมากเกินไป กลายเป็นโรคความดันโลหิตสูง หัวใจ ไขข้อ ตามมาอีกพรวน
โรคเบาหวาน ดังที่ทราบกัน เป็นโรคที่มีความผิดปกติ เกี่ยวกับขบวนการเคมีของร่างกาย (Metabolism) ทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ จนทำให้เกิดอาการขึ้น คือ น้ำตาลที่สูงมากกว่าปกตินั้น เมื่อกรองผ่านไปที่ไต ไตไม่สามารถดูดน้ำตาลกลับได้หมด จึงทำให้ความเข้มข้นของน้ำตาล ในท่อไตมากกว่าปกติ ทำให้น้ำ (จากเลือด) ไหลย้อน จากเนื้อไตเข้าไปยังท่อไต ซึ่งมีความเข้มข้นสูง แล้วก็ปัสสาวะออกมา ทำให้ปริมาณน้ำปัสสาวะที่ออกมา มากกว่าปกติ อาการเริ่มแรกที่เห็น คือ ปัสสาวะบ่อยและมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน อาจจะมากกว่า 3 – 4 ครั้ง ขึ้นกับความรุนแรงของโรค พอปัสสาวะมาก ก็ทำให้ร่างกายขาดน้ำ จึงทำให้คนที่เป็นเบาหวาน ต้องกินน้ำมากๆ เพื่อแก้กระหาย และทดแทนน้ำที่เสียไป และเนื่องจากร่างกายได้รับน้ำตาล จากการกินเข้าไปแล้ว เอาไปใช้ไม่ได้ จึงทำให้น้ำหนัก ลดค่อนข้างรวดเร็ว และหิวบ่อย เพราะกินแล้ว มันรั่วหายหมดไปทางปัสสาวะ ดังนั้น อาการเริ่มแรกทั้งหมดของเบาหวาน จึงเป็นปัสสาวะบ่อยมาก ดื่มน้ำมาก กินเก่ง หิวบ่อย น้ำหนักลด
ถ้าจะเอาให้ลึกลงไปเล็กน้อย เกี่ยวกับกลไกการเกิดน้ำตาลสูง ตามปกติน้ำตาล (แป้ง) เป็นแหล่งพลังงานของเราเป็นอันดับแรก ต่อไปก็ไขมัน, โปรตีน ตามลำดับ เมื่อเรากินแป้งเข้าไปโดยธรรมชาติ เช่น ข้าว ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยว น้ำตาล เผือก มัน การที่จะเอาน้ำตาลไปเผาผลาญ ให้เกิดพลังงานต้องใช้อินซูลิน ที่สร้างโดยตับอ่อน ความผิดปกติที่พบมี 2 อย่าง คือ ขาดอินซูลิน เพราะตับอ่อนไม่สร้าง หรือว่ามีอินซูลินผิดปกติ แต่เนื้อเยื่อ หรือเซลล์ของร่างกายไม่ตอบสนอง คือ ดื้อ อินซูลินนั่นเอง โรคเบาหวาน ที่พบในคนอายุน้อย (ส่วนใหญ่น้อยกว่า 30 ปี) จะเป็นพวกขาดอินซูลิน ส่วนพวกที่พบในผู้ใหญ่ หรือคนสูงอายุ (โรคเฉพาะคนอ้วน) จะเป็นพวกดื้ออินซูลินนอกจากอาการที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีอาการอื่นๆ ที่เกิดจากเซลล์ในร่างกายขาดน้ำ เช่น อ่อนเพลีย วิงเวียน มึนงง ตามัว คอแห้ง หรือแม้แต่สมรรถภาพทางเพศเสื่อม
การที่คนโบราณเรียก โรคเบาหวาน คงจะมาจากสมมติฐานที่ว่า ปัสสาวะ ซึ่งอาจจะเกิดจากประสบการณ์ การลองชิมปัสสาวะ หรือสังเกตเห็นมาตอม แต่อาการมดตอมปัสสาวะ ก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะปัสสาวะมีสารประกอบอื่นๆ อีกที่มดชอบ ดังนั้น คงต้องพิจารณาอาการอื่นๆ ด้วย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น