Holiday-Tourismthailand

การจัดการการตลาดแนวใหม่

Custom Search

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Herpes zoster งูสวัด


โรคงูสวัด

1.สาเหตุ เป็นโรคผิหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า Hepes Varicella Zoster เป็นชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคไข้สุกใส ผู้ที่เป็นโรคไข้สุกใสมาก่อนจะยังคงมีเชื้อไวรัสนี้ที่ปมประสาทสันหลัง ซึ่งเมื่อร่างกายอ่อนแปเชื้อสามารถสร้างเพิ่มจำนวน ทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ แต่จะเกิดเฉพาะแนวประสาท ไม่ลุกลามกระจายออกไปเพราะร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเชื้ออยู่แล้ว แนวเส้นประสาทที่พบบ่อยได้แก่ บริเวณเอว ก้นกบ ตา ใบหน้า ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เช่นผู้สูงอายุ หรือจากโรคเช่น เอดส์ การรับประทานยา steroid จะมีโอกาสที่จะเกิดโรคงูสวัดสูง
2.ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคจากการสำรวจพบว่าผู้ใหญ่ร้อยละ 90 จะมีภูมิต่อเชื้องูสวัด ดังนั้นกลุมคนเหล่านี้จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นงูสวัดประมาณ 1.5-3 ต่อประชากร 1000 คน ผู้ที่อายุมาก มะเร็ง หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ ผู้ที่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัด


3.อาการจะมีอาการปวดตามตัว มักจะไม่มีไข้ ต่อมาจะมีอาการทางผิวหนัง อาจจะแค่คันผิวหนัง บางคนปวดแสบปวดร้อน บางคนเสียวที่ผิวหนัง สำหรับคนที่เป็นที่ใบหน้าจะมีอาการปวดศีรษะ เห็นแสงจ้าไม่ได้ ต่อมาอีก 1-5 วันจะมีผื่นแดงอยู่เป็นกลุ่ม ต่อมาเป็นตุมน้ำใส มักจะขึ้นอยู่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายตามเส้นประสาทที่เป็นโรค ตุ่มน้ำใสจะคงอยู่ประมาณ5 ;วันต่อมาผื่นจะตกสะเก็ดและหายไปใน2-3สัปดาห์ และอาจจะทิ้งรอยแผลเป็น ผู้ป่วยที่มีภูมิอ่อนแรงเช่น โรคมะเร็ง โรคเอดส์ ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ จะเป็นโรคนี้ได้บ่อย และเป็นรุนแรง

4.การวินิจฉัย การวินิจฉัยทำได้จากประวัติและลักษณะของผื่น แต่ผื่นของผู้ป่วยบางคนตำแหน่งที่เกิดและลักษณะผื่นไม่เหมือนงูสวัดจึงจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่ม ได้แก่การเพาะเชื้อไวรัสการย้อมด้วยวิธี Direct immunofluorescence assay
5.โรคนี้จะติดต่อหรือไม่ เชื้อไวรัสที่อยู่ในผื่นสามารถติดต่อโดยการสัมผัส สำหรับผู้ที่ไม่เคยเป็นไขสุกใสมาก่อนก็อาจจะกลายเป็นไข้สุกใส สำหรับคนที่เป็นไข้สุกใสแล้วก็จะมีโอกาสเป็นงูสวัสเพิ่มมากขึ้น

มือชา-นิ้วล็อค

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีผู้เข้ามาปรึกษาแพทย์ทางกระดูกและข้อ เกี่ยวกับความผิดปกติที่เกิดกับมือ และต้องเข้ารับการฟื้นฟู ทำกายภาพบำบัดจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหญิงและชาย ที่พบเป็นประจำได้แก่ อาการมือชาจนอ่อนแรงหยิบจับอะไรแทบไม่ได้ และอาการของนิ้วล็อค คือนิ้วบางนิ้วแข็งเกร็งขยับแทบไม่ได้ เมื่องอ หรือเหยียดนิ้วออกแล้วจะเจ็บปวดมาก



เมื่อสอบถามประวัติแต่ละคนก็ได้คำตอบคล้ายๆกันคือ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นประจำ บางคนมีอาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์ นักออกแบบ พนักงานบัญชี นอกเหนือไปจากนั้นก็ได้แก่ หนุ่มๆ นักกอล์ฟ กลุ่มสาวๆ พนักงานนวด (แผนไทย) คนทำงานตามโรงงาน ที่ต้องใช้มือหยิบจับสิ่งของต่างๆ ซ้ำๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ พ่อครัวที่ต้องสับเนื้อหั่นผักตลอดเวลา แม้กระทั่งแม่บ้านที่ทำงานซักผ้า ถูบ้านต้องออกแรงบิดผ้าเสมอๆ



เรามาดูกันดีกว่าครับว่าอาการผิดปกติเหล่านี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร หากใครที่กำลังเริ่มเป็นจะได้ไหวตัวทัน และไปรับการรักษาก่อนอาการจะเป็นมากขึ้นนะครับ



โรคมือชาจากเส้นประสาทถูกกดทับ



โรคมือชานี้ เกิดจากการที่เส้นประสาทที่พาดผ่านบริเวณข้อมือถูกกดทับ ซึ่งเส้นประสาทนี้จะผ่านจากแขนไปยังข้อมือ เพื่อไปรับความรู้สึกที่บริเวณมือ โดยทอดผ่านบริเวณข้อมือ และลอดผ่านเอ็นที่ยึดบริเวณข้อมือ อาจมีสาเหตุบางประการ ที่ทำให้เส้นประสาทนี้ถูกกดทับได้ จึงทำให้มือชา ร่วมกับมีอาการปวดชา ร้าวไปยังท่อนแขนหรือต้นแขนได้ และบางคนพบว่ามือข้างที่เป็นอ่อนแรง หยิบจับสิ่งของไม่ถนัด ถ้าทิ้งไว้จะพบว่ากล้ามเนื้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มืออาจจะแฟบลง เมื่อเทียบกับมืออีกข้างหนึ่ง พบในเพศหญิงมากกว่าชาย ระหว่างวัย 30-60 ปี



อะไรบ้างที่เป็นสาเหตุ...



สิ่งใดก็ตามที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการบวม และการระคายเคืองของเยื่อบุข้อที่อยู่รอบๆ เส้นเอ็น ทำให้เส้นประสาทถูกกด เช่น เกิดการกระแทกที่บริเวณข้อมืออยู่เป็นประจำ เช่นใช้เครื่องตัดหญ้า เครื่องเจาะสกรู กำไม้เทนนิส ไม้กอล์ฟ กระดูกข้อมือหัก หรือการหลุดเคลื่อนของข้อ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (ไขข้ออักเสบ) คนที่เป็นเบาหวาน ในผู้หญิงตั้งครรภ์ และคนที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนจากการหมดประจำเดือน





ถ้ามีอาการเบื้องต้นต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ



- มีอาการชา และรู้สึกซ่าในบริเวณมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการมักจะเกิดในตอนกลางคืน ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับท่าทางในการนอน และหลังจากการใช้มือข้างนั้นๆ

- การรับความรู้สึกที่บริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และบางส่วนของนิ้วนางลดลง ทำให้หยิบจับของไม่ถนัด

- มีอาการรู้สึกแปล๊บๆ หรือคล้ายกับไฟฟ้าช็อต เมื่อทำการเคาะลงตรงข้อมือ ในบริเวณที่มีเส้นประสาททอดผ่าน อาการเหล่านี้จะเป็นมากขึ้น ในคนที่งอมือเข้าหาท้องแขนเป็นเวลา 1 นาที ถ้าเส้นประสาทนี้ถูกกดทับเป็นเวลานาน จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณฝ่ามือด้านนิ้วหัวแม่มือแฟบลง



การรักษา



ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย อาจจะใช้วิธีการรักษาโดยวิธีดังต่อไปนี้

- ใส่เครื่องพยุงข้อมือในช่วงเวลากลางคืน เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ข้อมืองอเวลานอน และช่วยให้เยื่อบุข้อมือ และเส้นเอ็นที่อักเสบยุบจากอาการบวม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นประสาทถูกกดทับ

- รับประทานยาลดการอักเสบ

- ถ้าอาการเป็นมากขึ้น แพทย์อาจจะแนะนำให้ฉีดยาสเตียรอยด์ เข้าไปในบริเวณที่เส้นประสาททอดผ่าน ซึ่งยานี้จะแพร่กระจายไปยังบริเวณเยื่อบุผิวข้อ และเส้นเอ็นที่มีการอักเสบ และบวม ทำให้อาการบวมยุบลง การกดเส้นประสาทก็น้อยลง ปริมาณของยาที่ใช้ฉีดไม่มากนักและไม่มีอันตรายที่รุนแรง การรักษาด้วยวิธีการเหล่านี้จะได้ผลดี ในกรณีที่เส้นประสาทไม่ถูกกดทับมากนัก ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นก็อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด โดยตัดเอาส่วนของพังผืด เส้นเอ็นในส่วนที่กดทับเส้นประสาทออก หลังผ่าตัดอาการก็จะดีขึ้น อาการปวดลดลง อาการชาลดลง แต่อาจไม่ถึงกับหายสนิทยังจะต้องใช้ เวลาอีกสักระยะหนึ่ง

ปวดท้อง

ปวดท้อง เป็นอาการนำที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์บ่อยเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งมีสาเหตุได้หลากหลาย ความสำคัญอยู่ที่อาการปวดท้องเป็นเฉียบพลันหรือเรื้อรัง เพราะหากเป็นเฉียบพลัน บางโรคอาจเป็นสาเหตุที่อันตรายถึงชีวิตได้อย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องรีบมาพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นโรคทางศัลยกรรมและทางสูติ-นรี



สาเหตุของอาการปวดท้องเฉียบพลัน ตามตำแหน่งการปวดที่หน้าท้อง

โดยหาก ปวดบริเวณท้องด้านขวาบน อาจเป็นจากโรค ถุงน้ำดีอักเสบ, นิ่วถุงน้ำดี, ตับอักเสบ, กรวยไตอักเสบ, งูสวัด, ปอดอักเสบ, ลำไส้เล็กส่วนต้นอักเสบ, ตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น



หาก ปวดบริเวณท้องด้านขวาล่าง อาจเป็นจาก ไส้ติ่งอักเสบ, ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องอักเสบ, ท้องนอกมดลูก, ปีกมดลูกอักเสบ, เยื่อบุผนังมดลูกเจริญผิดที่, นิ่วในท่อไตและไต, กรวยไตอักเสบ, ไส้เลื่อน, กะเปาะที่ผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ, ลำไส้ทะลุ, เส้นเลือดโป่งพองในช่องท้องมีการรั่วซืม

ถ้า ปวดบริเวณท้องด้านซ้ายบน อาจมีสาเหตุจาก กระเพาะอาหารอักเสบ, ตับอ่อนอักเสบ, ม้ามโต/ แตก, กรวยไตอักเสบ, นิ่วไต, งูสวัด, กล้ามเนื้อหัวใจตาย, ปอดอักเสบ, ลำไส้อักเสบ



ปวดบริเวณท้องด้านซ้ายล่าง เป็นได้จาก กะเปาะที่ผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ, ลำไส้อุด ตัน, ลำไส้อักเสบ, เส้นเลือดโป่งพองในช่องท้องมีการรั่วซึม, ท้องนอกมดลูก, ปีกมดลูกอักเสบ, เยื่อบุผนังมดลูกเจริญผิดที่, กรวยไตอักเสบ, นิ่วในท่อไตและไต

ปวดบริเวณลิ้นปี่ อาจเป็นเพราะ แผลในกระเพาะอาหาร, กระเพาะอาหารอักเสบ, ตับอ่อนอักเสบ, ลำไส้เล็กส่วนต้นอักเสบ, ไส้ติ่งอักเสบระยะแรก, เส้นเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องโป่งพอง, ถุงน้ำดีอักเสบ, กล้ามเนื้อหัวใจตาย

ปวดรอบสะดือ อาจเป็นไส้ติ่งอักเสบระยะแรก, กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ, ตับอ่อนอักเสบ, ลำไส้อุดตัน, เส้นเลือดในช่องท้องอุดตัน, เส้นเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องโป่งพอง



ปวดบริเวณท้องน้อย สาเหตุที่พบได้แก่ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, กะเปาะที่ผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ, ไส้ติ่งอักเสบ, โรคของต่อมลูกหมาก, ปีกมดลูกอักเสบ, ไส้เลื่อน, ช่องเชิงกรานอักเสบ( PID), ท้องนอกมดลูก, ลำไส้อักเสบ, ลำไส้อุดตัน

อาการปวดท้องอาจมีสาเหตุจากโรคนอกช่องท้องก็ได้ เช่น โรคของกระดูกสันหลัง, ปอดอักเสบ, งูสวัด, ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง, เบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนเป็น DKA, ไตวายที่มีของเสียในเลือดคั่งมาก( uremia), โรคแอดดิสัน( Addison's disease), ไข้ไทฟอยด์, โรคพอร์ฟัยเรีย, พิษจากตะกั่ว, ต่อมหมวกไตบกพร่อง, โรคทางจิตเวช



สาเหตุของอาการปวดท้องเรื้อรัง ถ้าเป็น โรคที่มีสาเหตุชัดเจน ได้แก่ ลำไส้อักเสบชนิด Inflammatory bowel disease , ลำไส้ขาดเลือด, เบาหวานลงเส้นประสาท( Diabetic neuropathy), แผลในกระเพาะอาหาร, ผังผืดในช่องท้อง, เนื้องอกในช่องท้อง, ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง, เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, นิ่วในถุงน้ำดี, ไส้เลื่อน, ลำไส้อุดตัน, กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ, ช่องเชิงกรานอักเสบ

ถ้าเป็น โรคที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน ได้แก่ ลำไส้แปรปรวน



การตรวจหาสาเหตุ

แพทย์จะอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายของผู้ป่วยในการพิจารณาเลือกวิธีการตรวจเพิ่มเติม หรือในรายที่อาการปวดท้องไม่ชัดเจนหรือเป็นเรื้อรังโดยอาการไม่เปลี่ยนแปลงอาจให้การวินิจฉัยโดยให้การรักษาและติดตามอาการ หากผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาดี อาจให้การวินิจฉัยในขั้นต้นได้ แต่หากไม่ตอบสนองต่อการรักษาหรืออาการมีการเปลี่ยนแปลงไป จำเป็นต้องมีการตรวจเพิ่มเติม ซึ่งการตรวจเพิ่มเติมนี้ขึ้นกับสาเหตุของอาการปวดท้องที่แพทย์สันนิษฐาน ได้แก่ การตรวจเลือด, ปัสสาวะ, อุจจาระ, การตรวจทางรังสี, การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร, การตรวจชิ้นเนื้อ เป็นต้น



การรักษา

แพทย์จะให้การรักษาครอบคลุมสาเหตุที่สงสัยและรักษาตามอาการระหว่างรอผลตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจน

อาการของโรคเก๊าท์

อาการของโรคเก๊าท์

1.ระยะแรกมักมีอาการปวดรุนแรงอย่างทันทีทันใด มักพบอาการปวดที่หัวแม่เท้าก่อน อาการมักเกิดขึ้นภายหลังการกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงมาก ๆ การดื่มเหล้ามาก หรือการสวมรองเท้าที่คับ บริเวณผิวหนังตรงข้อที่อักเสบจะตึงร้อน เป็นมัน ผู้ป่วยมักจะมีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย มีเม็ดเลือดขาวสูง อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น ใน 2-3 วัน และหายไปเองในระยะ 5-7 วัน

2.ระยะพัก เป็นระยะที่ไม่มีอาการแสดง แต่กรดยูริคในเลือดมักสูง และอาการอักเสบอาจเกิดขึ้นอีกจนถึงขึ้นเรื้อรัง อาจมีอาการเป็นระยะ ๆ เนื่องจากผลึกยูเรตเป็นจำนวนมากสะสมอยู่ในข้อกระดูกเยื่ออ่อนของข้อต่อ และบริเวณเส้นเอ็น ทำให้เกิดโรคข้อกระดูกเสื่อม เมื่อเป็นมากจะมีการสะสมของผลึกนี้ที่เยื่อบุภายในปลอกหุ้มข้อ และเกิดปุ่มขึ้นที่ใต้ผิวหนัง มักเริ่มที่หัวแม่เท้า และปลายใบหูก่อน ข้อที่มีผลึกยูเรตเกาะอยู่ อาจเปลี่ยนแปลงจนผิดรูป และเกิดความพิการที่ข้อกระดูกนั้น ๆ

3.อาการแทรกซ้อน พบว่า ร้อยละ 25 ของผู้ป่วยข้ออักเสบเฉียบพลันจากเก๊าท์มักมีนิ่วในไตด้วย ผลึกยูเรตอาจสะสมอยู่ในส่วนหมวกไต ทำให้มีอาการเลือดออกทางปัสสาวะ ถ้ามีการสะสมในไตมาก ๆ จะขัดการทำงานของไต หรือทำลายเนื้อไต ทำให้เกิดภาวะไตล้มเหลว

การควบคุมอาหาร เนื่องจาก กรดยูริคจะได้จากการเผาผลาญสารพิวรีน ดังนั้น ในการรักษาโรคเก๊าท์ จึงต้องควบคุมสารพิวรีนในอาหารด้วย อาหารที่มีพวรีน อาจแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ

อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย ( 0-50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)

1.นมและผลิตภัณฑ์จากนม 2.ไข่ 3.ธัญญพืชต่าง ๆ 4.ผักต่าง ๆ 5.ผลไม้ต่าง ๆ 6.น้ำตาล
7.ผลไม้เปลือกแข็ง(ทุกชนิด) 8.ไขมัน

อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง (50-150 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)

1.เนื้อหมู 2.เนื้อวัว 3.ปลากระพงแดง 4.ปลาหมึก 5.ปู 6.ถั่วลิสง 7.ใบขี้เหล็ก
8.สะตอ 9.ข้าวโอ๊ต 10.ผักโขม 11.เมล็ดถั่วลันเตา 12.หน่อไม้

อาหารที่มีพิวรีนสูง (150 มิลลิกรัมขึ้นไป) * อาหารที่ควรงด

1.หัวใจไก่ 2.ไข่ปลา 3.ตับไก่ 4.มันสมองวัว 5.กึ๋นไก่ 6.หอย 7.เซ่งจี้(หมู) 8.ห่าน 9.ตับหมู 10.น้ำต้มกระดูก 11.ปลาดุก 12.ยีสต์ 13.เนื้อไก่,เป็ด 14.ซุปก้อน 15.กุ้งชีแฮ้ 16.น้ำซุปต่าง ๆ 17.น้ำสกัดเนื้อ 18.ปลาไส้ตัน 19.ถั่วดำ 20.ปลาขนาดเล็ก 21.ถั่วแดง 22.เห็ด 23.ถั่วเขียว 24.กระถิน 25.ถั่วเหลือง 26.ตับอ่อน 27.ชะอม 28.ปลาอินทรีย์ 29.กะปิ 30.ปลาซาดีนกระป๋อง

การกำหนดอาหาร

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ควรมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ ประกอบด้วยอาหารหลัก 5 หมู่ เพื่อให้ได้ สารอาหารครบถ้วน และงดเว้นอาหารที่มีพิวรีนมากดังกล่าวแล้ว

1.พลังงาน ผู้ป่วยที่อ้วน จำเป็นต้องจำกัดพลังงานในอาหาร เพื่อให้น้ำหนักลดลงทั้งนี้ เนื่องจากความอ้วน ทำให้เกิดอาการโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้น แต่ต้องระมัดระวังในระยะที่มีอาการรุนแรง ไม่ควรให้อาหารที่มีพลังงานต่ำเกินไป เพราะอาจทำให้มีการสลายของไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งจะทำให้สารยูริคถูกขับออกจากร่างกายได้น้อย และอาการของโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้นได้ ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ไม่ควรอดอาหาร และควรได้พลังงานประมาณวันละ 1,200-1,600 แคลอรี่

2.โปรตีน ผู้ป่วยควรได้รับอาหารโปรตีนตามปรกติ ไม่เกิน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยหลีกเลี่ยงโปรตีนที่มีสารพิวรีนมาก

3.ไขมัน ผู้ป่วยควรได้รับอาหารที่มีไขมันให้น้อยลง โดยจำกัดให้ได้รับประมาณวันละ 60 กรัม เพื่อให้น้ำหนักลดลง การได้รับอาหารที่มีไขมันมากเกินไป จะทำให้มีการสะสมสารไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้น ซึ่งการมีสารไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น จะทำให้ขับถ่ายสารยูนิคได้ไม่ดี และพบว่า ผู้ป่วยที่อ้วน และมียูริคในเลือดสูง เมื่อลดน้ำหนักลง กรดยูริคในเลือดจะลดลงด้วย

4.คาร์โปไฮเดรท ควรได้รับให้พอเพียงในรูปของข้าว แป้งต่าง ๆ และผลไม้ ส่วนน้ำตาลไม่ควรกินมาก เพราะการกินน้ำตาลมาก ๆ จะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ซึ่งจะมีผลต่อการขับถ่ายสารยูริคด้วย

5.แอลกอฮอล์ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้ามาก ๆ เพราะการเผาผลาญแอลกอฮอล์ จะทำให้มีกรดแลคติคเกิดขึ้น และมีการสะสมแลคเตตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลให้กรดยูริคถูกขับถ่ายได้น้อยลง

การจัดอาหาร




ในการจัดอาหารให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ที่แพทย์ให้จำกัดสารพิวรีนอย่างเข้มงวด ผู้จัดต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทั้งในด้านโภชนาการ และรสชาติ ลักษณะอาหาร เพื่อที่จะให้ผู้ป่วยกินอาหารได้ตามที่กำหนด และได้รับสารอาหารเพียงพอ

1.ในระยะที่มีอาการรุนแรง ควรงดเว้นอาหารที่มีพิวรีนมาก ในระหว่างมื้ออาหารให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้มาก ๆ จะช่วยขับกรดยูริค ช่วยรักษาสุขภาพของไตและป้องกันมิให้เกิดก้อนนิ่ว พวกยูเรตขึ้นได้ที่ไต
2.งดเว้นอาหารที่ให้พลังงานมาก ได้แก่ ขนมหวานต่าง ๆ อาหารที่มีไขมันมาก เช่น อาหารทอด และขนมหวาน ที่มีน้ำตาล และไขมันมาก
3.จัดอาหารที่มีใยอาหารมาก แก่ผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้น้ำหนักลดลง
4.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การดื่มเหล้ามีส่วนช่วยให้อาการของโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้น
5.อาหารที่มีไขมันมาก จะทำให้ขับกรดยูริคน้อยลง ทำให้มีการคั่งของกรดยูริคในเลือดมากขึ้น

โรคเก๊าฑ์

โรคเก๊าท์ เกิดจากภาวะที่กรดยูริคในเลือดมีปริมาณสูงเกินไป เกินกว่าที่จะสามารถอยู่ในเลือดในรูปสารละลายได้ จึงมีการตกตะกอนสะสมอยู่ตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่ที่มีอากาศเย็นกว่าบริเวณอื่น เช่น ตามข้อ ทำให้ข้ออักเสบ หรือ ตามศอก นิ้ว ติ่งหู ตาตุ่ม หลังเท้าทำให้เกิดปุ้มก้อนเกิดขึ้น

สาเหตุ

สาเหตุของเก๊าท์ เกิดเนื่องจากร่างกายมีกรดยูริคสูงเกิน เป็นเวลานาน สำหรับผู้ชาย ระดับยูริคจะสูงตั้งแต่ ในช่วงวัยรุ่น แต่ผู้หญิงด้วยฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศ จะไม่สูง แต่จะสูงเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว ระดับยูริคที่สูงจะไม่ทำให้เกิดอาการ แต่จะสะสมตกตะกอน
ไปเรื่อย ๆ จนเริ่มมีอาการทางข้อเมื่อกรดยูริค ในเลือดสูงไปประมาณ 10-20 ปีแล้ว
ยูริคในเลือดที่สูงกว่าร้อยละ 90 เกิดจากร่างกายผลิตเอง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องให้ผู้ป่วย โรคเก๊าท์งดอาหารใด ๆ ที่มียูริคสูงเลยและการกินอาหารที่มียูริคสูง (ที่คนทั่วไปเข้าใจกันเช่น เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก) ก็ไม่ได้ทำให้ เกิดโรคเก๊าท์แต่อย่างใดและเนื่องจากโรคเก๊าท์มักเป็นในผู้ป่วยที่มีอายุค่อนข้างมาก ซึ่งมักจะมีโรคอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ซึ่งจำเป็นต้องงดอาหารหวาน อาหารเค็มอยู่แล้ว การให้ผู้ป่วยเก๊าท์งดอาหารอีก จะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถกินอาหารอะไรได้เลย (ยกเว้นไปกินแกลบ กินหญ้า) เป็นการทรมานผู้ป่วยเปล่า ๆ

อาการ

อาการของเก๊าท์ที่สำคัญคือ ข้ออักเสบ มักเกิดที่บริเวณนิ้วหัวแม่เท้า, ข้อเท้า เป็นต้น โดยข้อที่อักเสบ จะบวม แดง ร้อน และปวดมาก ชัดเจน (ถ้าข้อที่ปวด ไม่บวม แดง ร้อน หรือมีอาการไม่ชัดเจนให้สงสัยไว้ ก่อนว่าไม่ใช่เก๊าท์) โดยมากมักเป็นข้อเดียวและมีอาการอักเสบอยู่ประมาณ 5-7 วัน อาการจะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง จนหายสนิท ระหว่างที่ไม่มีอาการ จะไม่มีความผิดปกติใด ๆ ให้เห็น เมื่อข้ออักเสบขึ้นใหม่ จะมีอาการเช่นเดิมอีก อาการจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นมากขึ้น อาการข้ออักเสบจะเป็นมากขึ้นหลายข้อมากขึ้น เป็นนานและรุนแรงขึ้น รวมทั้งเกิดปุ่มก้อนของยูริค สะสมมากขึ้น ผู้ป่วยระยะนี้มักมีไตวายร่วมด้วย

การรักษาเก๊าท์แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่

1. การรักษาข้ออักเสบ ในช่วงนี้แพทย์จะใช้ยาลดการอักเสบของข้อก่อน โดยใช้ยา โคลชิซิน หรือยาแก้ปวดลดอักเสบ หรือใช้ร่วมกัน เพื่อลดอาการปวดข้อและอักเสบ ยาโคลชิซินโดยทั่วไปแนะนำให้ใช้ ไม่เกินวันละ 3-4 เม็ด โดยกินยาทุก 4 ชั่วโมง จนกว่าจะหายปวด

การใช้ยาตามคำแนะนำของต่างประเทศที่ว่าให้กินทุก 1 ชั่วโมงจนหายปวดหรือจนเกิดผลข้างเคียงคือท้องเสียนั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะข้อไม่เคยหายอักเสบก่อนท้องเสียเลย ดังนั้นผู้ป่วยจะท้องเสียทุกรายและมีความรู้สึก ที่ไม่ดีต่อการใช้ยานี้ การกินยาไม่เกิน 3-4 เม็ดต่อวัน โอกาสเกิดผลข้างเคียงนี้ น้อยมาก ผู้ป่วยเก๊าท์ในระยะข้ออักเสบ ห้ามนวด! เด็ดขาด เพราะจะทำให้ข้ออักเสบเป็นรุนแรงขึ้นหายช้าลงได้

2. การลดกรดยูริคในเลือด โดยใช้ยาลดกรดยูริค ในผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบมากกว่า 1 ครั้ง ควรให้ยาลดกรดยูริคถ้าทำได้ การกินยาดังกล่าวจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องสม่ำเสมอไปนานหลายปี ทั้งนี้เพื่อลดระดับยูริคในเลือดลง ทำให้ตะกอนยูริคที่สะสมอยู่ละลายออกจนหมดผู้ป่วยจะสามารถหายจากโรคเก๊าท์ได้ แต่ข้อควรระวังคือ

- ยาลดกรดยูริค มีผลข้างเคียงที่แม้จะพบไม่มากแต่สำคัญ คือทำให้เกิดผื่นแพ้ยารุนแรง และลอก เป็นอันตรายมาก
การกินยาไม่สม่ำเสมอ กิน ๆ หยุด ๆ เสี่ยงต่อการแพ้ยามาก ดังนั้นผู้ป่วยที่ไม่สามารถจะกินยาสม่ำเสมอได้ ไม่แนะนำให้กินยา
- เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นเก๊าท์ ให้การวินิจฉัยโดยลักษณะอาการทางคลินิค ไม่ได้อาศัยการเจาะตรวจยูริคในเลือด

ดังนั้นผู้ที่เจาะเลือดแล้วมียูริคสูง ไม่ได้บอกว่าเป็นเก๊าท์ ถ้าไม่มีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์มาก่อน ไม่จำเป็นต้องรักษา

มีผู้เข้าใจผิดอยู่มาก โดยให้กินยาลดกรดยูริคเมื่อตรวจพบเพียงแต่ยูริคในเลือดสูง เพราะยูริคในเลือดสูง ไม่ได้เป็นเก๊าท์ทุกราย แต่การกินยาจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาข้างต้นได้

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการจูบ ที่ทำให้รู้สึกดี


วิธีทำให้เขาเก่งขึ้น

บรรดาผู้เชี่ยวชาญกล่าวอย่างเศร้าๆ ว่า ผู้ชายจำนวนมากชอบรัวสากจนครกแทบแตกอย่างหน้ามืดตามัวแบบนี้แหละ “ผู้ชายส่วนใหญ่มี SEX ในแบบเดียวกับที่พวกเขาสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง” ดร. เอวา เคเดลล์ กล่าว

แต่ข่าวดีก็คือ อาการรัวสากนั้นรักษาได้ เคเดลล์บอก “ผู้ชายรับการแนะนำได้ดี ดังนั้นคุณจึงสามารถนำพาเขาไปสู่เทคนิคการบรรลุจุดสุดยอดอย่างเป็นมิตรได้โดยไม่ทำร้ายอัตตาของเขา”

ควบคุมด้วยท่า

วิธีที่ง่ายที่สุดในการระงับยับยั้งนักรัวสากก็คือมี SEX ในท่าที่เขาไม่สามารถกระแทกกระทั้นคุณได้ตามใจชอบ ผู้หญิงอยู่บน คือ ทางเลือกหนึ่ง ท่านี้คุณจะเป็นผู้ควบคุมความถี่ได้โดยสิ้นเชิง

อีกท่าก็คือ การกอดจูบลูบไล้ แต่มีคำเตือนอยู่ข้อหนึ่ง คือ ท่านี้เขามีเสรีภาพในการปฏิบัติมากขึ้น ดังนั้นการจะควบคุมจังหวะย่างก้าวของเขาก็ให้คุณกำองคชาตของเขาไว้เบาๆ และบอกเขาว่า คุณต้องการใช้มันเหมือนมันเป็น VIBRATOR เท่านี้เขาก็เหมือนลูกไก่ในกำมือคุณแล้ว จะบีบจะคลายก็ไม่ตาย มีแต่สนุก

ควบคุมด้วยคำพูด

ถ้าคุณตกอยู่ในท่าที่นักตำพริกแกงสามารถรัวสากได้สะดวก เช่น ท่า MISSIONARY (ผู้ชายอยู่บน) หรือท่าเจ้าตูบ คุณก็ต้องใช้คำพูดควบคุมการปฏิบัติของเขา

“ก่อนเขาจะเข้าไปในตัวคุณ ให้บอกเขาว่าคุณจะมีความสุขมากเลย ถ้าเขาทำอย่างช้าๆ” ดร. เคเดลล์ แนะ

ด้วยเหตุที่คุณไม่ได้พูดประโยคนี้เพื่อตำหนิในสิ่งที่เขาทำไปแล้ว เขาจึงไม่ถือว่าเป็นการตัดพ้อต่อว่าเขา ถ้าเขาเร่งจังหวะขึ้นมาอย่างกะทันหัน คำพูดอย่าง “ใจเย็นๆ สิคะ จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน” (แบบอิ๊กคิวซังน่ะแหละ) ก็จะเป็นคำพูดขำๆ ที่ไม่เหมือนการตำหนิติเตียน แต่เป็นการเตือนอย่างนิ่มๆ ให้เขาเรียกสติกลับมาได้ทัน

ใช้การประนีประนอม

ความแรงและเร็วทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่รู้สึกดีสุดๆ เช่นเดียวกับที่คุณผู้หญิงเกร็งจนนิ้วเท้างอหงิกในบางท่า
ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าพวกคุณทั้งคู่มีความพึงพอใจอย่างแท้จริง ก็ให้ระลึกไว้ว่า บางครั้ง บางจังหวะ การรัวสากก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เช่น หลังจากคุณถึงจุดไคลแม็กซ์เรียบร้อยแล้ว หรือกำลังจะถึงพอดี
“บอกเขาว่าคุณต้องการเริ่มต้นในท่าโปรดของคุณ และเสร็จในท่าของเขา” เคเดลล์กล่าว

ในช่วงเวลาแห่งการเข้าสู่จุดสุดยอดนั้น คุณแทบไม่เหลือสติพอที่จะจับสังเกต 2-3 นาทีสุดท้ายของอาการ “ตับ-ตับ-ตับ” ได้หรอก

เพราะฉะนั้น การรัวสากตอนใกล้เสร็จ จึงเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรขัดใจเขา เพราะคุณเองก็ชอบด้วย ไม่ใช่หรือ...





เชื่อว่าหลาย ๆ คู่ ทั้งเค้าและคุณคงต้องการและสรรหาเทคนิคการจูบดี ๆ กันอยู่ใช่ไหมล่ะ เอาล่ะวันนี้เรามีเทคนิคดีๆ มาฝากคู่ที่กำลังค้นหาเทคนิคการจูบปากที่จะช่วยให้คุณทั้งคู่ได้ใช้เวลาที่ดีต่อกันและได้รู้สึกถึงความรักใคร่ผ่านเทคนิคการจูบแบบดูดดื่ม ที่เรากำลังจะแนะนำ หากคุณอยากบอกรักผ่านจูบ ก็ต้องลองเทคนิคการจูบที่ทำให้รู้สึกดีนี้เลยค่ะ

1. จูบเลยจูบดังด๊วบ ๆๆ

เสียงกิจกรรมระหว่างแลกจูบเนี่ยฟังแล้วเสียวไปถึงไส้ติ่งท่อนปลายทีเดียว แต่ใช่ว่าแค่อ้าปากแล้วก็เสียวซ่าอ้าส์ๆๆ กันได้ทุกคน ที่สำคัญคุณต้องเข้าใจก่อนว่า การจูบคือการที่ต่างคนต่างก็ได้แสดงบทบาทของการเป็นผู้นำและผู้ตามความหฤหรรษ์ทางปลายลิ้นกันอย่างเท่าเทียม ดังนั้นเมื่อเขาปล่อยลิ้นออกมาอย่าเอาแต่เคลื่อนลิ้นไปตรงนั้นตรงนี้โดยไม่สนใจที่จะเข้าไปทำความรู้จักลิ้นของเขาทางที่ดีควรเล่นลิ้นกับเขาถ้าอยากเคลื่อนไปตรงไหนก็ช่วยพาลิ้นของเขาให้ตามลิ้นคุณไปด้วย อาจจะดูดลิ้นเขาบ้างเบา ๆ แต่อย่าดุนลิ้นลงคอเขาเพราะมันใช่ชักโครก และลิ้นคุณก็ไม่ใช่แปรงลวดที่จะต้องสำรวจอย่าง Hard Core ค่อย ๆ ทำความรู้จักด้วยสัมผัสที่นุ่มนวลดีกว่า

2. จูบแบบเคาะประตูยู้ฮูที่รัก

รอยจูบแบบนี้เป็นการเอาอกเอาใจซึ่งกันและกันเหมาะสำหรับใช้เป็นบทเริ่มต้นหรือสำหรับมือใหม่หัดจูบ เพราะมันเป็นการจูบแบบเสียดสีด้วยปากเฉพาะภายนอกเพื่อกระตุ้นเซลล์ประสาทบนริมฝีปากให้ตื่นตัวเหมือนการเคาะประตู โก่งคอเรียกชู้รักเริ่มด้วยคุณจูบริมฝีปากบนของเขาและเขาจูบริมฝีปากล่างของเขาจากนั้นให้ใช้ริมฝีปากถูไถกันไปมาสลับกับจุ๊บกันเบาๆ เพื่อกระตุ้นอารมณ์ของเขาให้ปั่นป่วนเล่น จากนั้นก็สลับกันคุณจูบริมฝีปากล่างเขาบ้างและเขาก็จูบริมฝีปากบนของคุณและอาจเสริมการดูดปากที่ภายนอกจะทำให้เลือดแล่นมาเลี้ยงที่ริมฝีปากและจะทำให้เกิดความอบอุ่นอ่อนไหวอย่างบอกไม่ถูก

3. จูบแบบอสรพิษ...ซี๊ด สวรรค์!

นี่เป็นการจูบในระดับที่สองเหมาะสำหรับคนที่เริ่มสนิทสนมหรือสำหรับคนที่ชอบความเร่าร้อนพอ ๆ กัน เสน่ห์อยู่ที่การให้จุมพิตบางเบาเหมือนสัมผัสแห่งผ้าต่วนที่สะบัดไหวเคลียริมฝีปากที่จะทำให้เขาสั่นสะท้านไปถึงสันหลังก้นกบเล็บขบไม่เกี่ยว โดยเฉพาะถ้าคุณปฏิบัติอย่างช้า ๆ และอ้อยอิ่งเริ่มจากเอียงศีรษะของคุณไปมาอย่างยั่วเย้า แต่ถ้าใครคอสั้นไม่ระหงอาจจะไม่เซ็กซี่อย่างที่คิดข้ามไปใช้ริมฝีปากของคุณสัมผัสทักทายเขาแค่เพียงเบา ๆ ใช้ปากนวดวนเบา ๆ ในทุกทิศทางจนมีความอบอุ่นแผ่ซ่าน ค่อย ๆ ใช้ปลายลิ้นของคุณเลียริมฝีปากของเขาเบา ๆ สลับกับการเป่าลมใส่เบา ๆ การถูไถริมฝีปากของคุณกับเขาอย่างนิ่มนวล เป็นทั้งการกระตุ้นและยั่วอารมณ์ได้ในคราวเดียวกันและมันเร้าอารมณ์ได้อย่างเหลือเชื่อ

4. จูบแบบสูบลมหายใจเดียวกันมันส์ถึงปอด

จูบชนิดนี้คือหนึ่งในขั้นสุดยอดแห่งไตรภาคการจุมพิตเพราะมันจะทำให้ใครคนหนึ่งแทบขาดใจตายทีเดียว ทั้งด้วยลีลาแบบอึ้งทึ่งถึงกึ๋น และด้วยหลักกายภาพอันแสนซาบซ่านและอาจใช้เป็นลีลา Finale ก่อนจากลาก็ได้สำหรับบางคู่ที่หมดเวลาดู๋ดี๋เริ่มจากใช้ปากต่อปากประกบกันแน่นจนแทบไม่มีช่องว่างให้อากาศรั่วไหลออกมาได้เลย จากนั้นก็ค่อย ๆ อ้าปากคุณขึ้นแล้วค่อย ๆ สูดลมหายใจให้เหมือนกับว่าดูดลมหายใจออกจากปอดของเขาอย่างนิ่มนวล จากนั้นให้เขาลองทำแบบเดียวกันกับคุณบ้างมันจะทำให้คุณสองคนรู้สึกเหมือนเป็นคนคนเดียวกันหายใจเข้าออกพร้อม ๆ กัน

หึง...อย่างมีชั้นเชิง


อาการหึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะของของใครใครก็ต้องหวงจริงไหมคะ รักมากก็ยิ่งหึงมากเป็นธรรมดา ผู้ชายก็เหมือนเสือไม่ทิ้งลาย ไว้ใจไม่ค่อยจะได้ ถ้ามีใครมาเข้าใกล้แฟนเราในระยะเกินงาม ใครกันจะทนไหว ทำให้สาว ๆ อย่างเราต้องจัดการให้อยู่หมัด แต่จะให้หึงหวงหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็คงเสียฟอร์ม ลองมาดูวิธีหึงอย่างมีชั้นเชิงกันดีกว่านะ

หึงแบบไม่ไร้สติ อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเป็นอันขาด ไม่ว่าตอนนั้นคุณจะมีอารมณ์รุนแรงเพียงใด ให้สงบจิตสงบใจไว้ก่อน แล้วเรียกสติกลับคืนมา ลองวิธีการนับ 1-10 ช้า ๆ ถ้ายังไม่หายให้นับ 1 - 100 ไปเลยค่ะ แต่อย่าแสดงอาการออกนอกหน้า เดี๋ยวคู่กรณีของคุณจะได้ใจนะ

หยุดคิด ทบทวนถึงสถานภาพของคุณและเค้า ว่าตัวคุณเองมีสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของมากแค่ไหน แล้วเรียกร้องให้เหมาะสมแบบไม่น่าเกลียดจนเกินงามนะคะ

อย่าเพิ่งแสดงออก บางครั้งถ้าคุณอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน เพิ่งจีบกันได้ไม่นาน ขอร้องเลยค่ะว่าอย่าแสดงอารมณ์หึงหวงหรืออาละวาดเป็นอันขาด เดี๋ยวอีกฝ่ายจะพลอยตกใจหนีกระเจิงไปซะก่อนนะ

ทำให้เขาเอ็นดู อย่าทำให้รู้สึกรำคาญ เพราะคงไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้แฟนอารมณ์ร้ายที่หน้าตาบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลาหรอกนะ แทนที่จะร้องโวยวาย เปลี่ยนเป็นการแสดงออกให้เค้ารู้สึกเห็นใจ และเห็นความสำคัญในตัวเราดีกว่านะคะ

ทดลองใจ ใช้ช่วงเวลานี้เรียกคะแนนความสงสารให้เต็มที่ เพื่อทำให้เค้าใจอ่อน ทั้งน้ำตาและคำพูดออดอ้อน บวกกับอาการงอนแบบน่ารักงุงงิ้ง ใส่มารยาร้อยเล่มเกวียนเข้าไป เพิ่มเสน่ห์ให้คุณเป็นสาวอ่อนโยนน่าหลงใหล เท่านี้ก็อยู่หมัด

อย่าแสดงอาการหึงท่ามกลางสาธารณชน เพราะมันอาจจะทำให้คุณกลายเป็นตัวตลกที่น่าสมเพชเวทนาในสายตาคนอื่น แถมยังน่าอับอายและกลายเป็นหัวข้อให้คนอื่นซุบซิบได้นะ

เก็บอารมณ์ ไม่ว่าคุณจะลำบากใจที่ต้องอดทนอดกลั้น แต่ขอให้เก็บอาการหึงไว้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันหลังไมค์ เพราะพวกผู้ชายไม่ชอบเสียหน้าหรือเสียฟอร์ม อย่าทำให้เค้าหวาดหวั่นกับอาการหึงหวงอย่างรุนแรงของคุณ

ดูจังหวะ ทำอะไรก็ต้องดูฤกษ์ดูยาม การหึงก็เช่นกันดูช่วงเวลาดี ๆ ที่เค้าไม่หัวเสียหรือวุ่นวายกับปัญหาอื่นอยู่ ตอนนั้นแหละเป็นโอกาสเหมาะ การหึงของคุณถึงจะประสบความสำเร็จแน่นอน

อย่าหึงพร่ำเพรื่อ อาการหึงอาจนำมา ซึ่งความรำคายและกลายเป็นเลิกราในที่สุดเดี๋ยวน้ำตาจะเช็ดหัวเข่านะคะ

ฝากไว้สำหรับสาวจอมขี้หึงทั้งหลาย เอาไว้เป็นไม้ตายออดอ้อนหนุ่ม ๆ เท่านี้อาการหึงแบบพอประมาณก็คงช่วยเพิ่มสีสันให้กับคุณได้ รักหรอกจึงหยอกเล่นนะ

อย.เตือน ยาฉีด filler ยี่ห้อ TEOSYAL

อย. เตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อการโฆษณายาฉีด filler ยี่ห้อ TEOSYAL เพื่อรักษาริ้วรอยบนใบหน้า เนื่องจากไม่ได้ขออนุญาตขึ้นทะเบียนตำรับยา ถือเป็นยาเถื่อน หากจะฉีดยาใดๆ ก็ตาม ควรสอบถามทุกครั้งว่ายาฉีดที่ใช้มีการขออนุญาตถูกต้องหรือไม่ และหากจะฉีดยา ควรฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น พร้อมเตือนมายัง ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม แพทย์ผิวหนัง แพทย์ศัลยกรรม ที่ใช้ยาฉีดที่ไม่ได้ขออนุญาตขึ้นทะเบียน ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ควรคำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรมในการประกอบการ หากตรวจพบมีโทษทั้งจำและปรับ

นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และ พล.ต.ต.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บังคับการปราบปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) ร่วมกันแถลงข่าว ต่อสื่อมวลชนว่า ตามที่มีโฆษณาขายยาฉีด filler ยี่ห้อ “TEOSYAL” ปรากฏแพร่หลายอยู่ในขณะนี้ ตามคลินิกเสริมความงามและทางเว็บไซต์อวดสรรพคุณ ลดริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอเตือนมายังผู้ที่คิดจะใช้บริการยาฉีดนี้ให้ทราบว่า ยาฉีดยี่ห้อดังกล่าวถึงแม้มีการใช้ในต่างประเทศ แต่สำหรับ ในประเทศไทยยังไม่มีผู้ประกอบการมาขอขึ้นทะเบียนตำรับยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายแต่อย่างใด ซึ่งหากเป็นยาเถื่อน อาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย และหาผู้รับผิดชอบไม่ได้ นอกจากนี้ ขอเตือนมายังผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม แพทย์ผิวหนัง แพทย์ศัลยกรรม แพทย์ด้านความงาม จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากมีการลักลอบนำเข้าหรือจำหน่ายยาฉีดที่ไม่ได้ขออนุญาตขึ้นทะเบียนตำรับยาตามกฎหมาย จะถูกดำเนินคดี มีโทษทั้งจำและปรับ กรณีแพทย์เป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย จะถูกร้องเรียนไปยังแพทยสภาให้ดำเนินการเอาผิด ทางจรรยาบรรณแพทย์ต่อไป

อนึ่ง ในวันที่ 10 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ อย. ร่วมกับตำรวจ บก.ปคบ. นำหมายค้นศาลแขวง พระนครใต้ ที่ ค.19/2554 เข้าตรวจค้น ทองหล่อ คลินิก เลขที่ 158/1 อาคารอเนกวานิช สุขุมวิท 55 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ซึ่งก่อนหน้าการเข้าค้นได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปซื้อบริการฉีด filler ยี่ห้อTEOSYAL และพบว่ามีการใช้ยาฉีดชนิดนี้จริง โดยผลการตรวจค้น พบยาฉีด filler ยี่ห้อ TEOSYAL หลากหลายรูปแบบ ที่อ้างแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก สร้างเรียวปากสวยอวบอิ่ม ลดริ้วรอยบนใบหน้า ซึ่งผลจากการตรวจสอบเป็นยาฉีด ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา มีความผิดในข้อหา ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมกันนี้ ยังพบเครื่องสำอางบำรุงผิวที่ไม่มีฉลากภาษาไทย มีความผิดในข้อหา ขายเครื่องสำอางที่ไม่มีฉลากภาษาไทย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขอเตือนมายังเจ้าของเว็บไซต์ทุกราย รวมทั้ง คลินิกสถานเสริมความงามทุกแห่ง หรือแหล่งใดๆ ที่โฆษณาขายยาฉีด filler หรือยาใดๆ ก็ตาม ที่ไม่ได้ขออนุญาตขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย จะถูกดำเนินคดีอย่างเข้มงวด ที่สำคัญ ผู้ประกอบการควรมีคุณธรรม จริยธรรม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมกันนี้ ปัจจุบันพบว่าสาวไทยส่วนใหญ่ชอบที่จะเข้ารับบริการเสริมความงามตามคลินิกหรือสถานเสริมความงามที่มีอยู่มากมายกันมากขึ้น โดยเฉพาะการรักษาริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า การเสริมปากให้แลดูอวบอิ่ม การเสริมจมูก การทำให้หน้าขาว ใส เด้ง ฯลฯ ทำให้มีโฆษณาขายยาฉีด filler , ฉีดโบท็อกซ์ , ฉีดคอลลาเจน ฉีดกลูตาไธโอน และเครื่องสำอางอย่างแพร่หลาย ผ่านทางเว็บไซต์ แผ่นพับ ติดหน้าร้านเสริมความงาม โดยไม่มีการขออนุญาตจาก อย. มาก่อน ดังนั้น จึงขอเตือนประชาชนโดยเฉพาะสาวๆ ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ให้ระวังการเข้ารับบริการ หากจำเป็นต้องการที่จะใช้ยาฉีด ควรคำนึงถึงความปลอดภัยให้มากที่สุดโดยควรเลือกฉีดในคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำอยู่ ที่สำคัญ ควรสอบถามและขอดูตัวยาที่ใช้ว่ามีการอนุญาตขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจาก อย. หรือไม่ เพื่อให้ได้ยาที่มีคุณภาพมาตรฐาน หากฉีดยากับบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ หรือใช้ยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และสถานที่ฉีดยาที่ไม่น่าเชื่อถือ ผลที่ได้อาจไม่คุ้ม เพราะหากเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น เกิดการอักเสบ อาการแพ้ต่างๆ นอกจากจะไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบแล้ว ยังอาจเสียเงินทองจำนวนมากในการรักษาร่างกายด้วย หากผู้บริโภคพบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย หรือโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงผ่านทางสื่อต่างๆ สามารถร้องเรียนมายัง สายด่วน อย. โทร. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดที่พบ การกระทำความผิด หรือที่ บก.ปคบ. ตู้ ปณ.459 ปณศ.สามเสนใน พญาไท กทม.10400

เหตุผลดีๆ ที่ควรยิ้ม ^^


เมื่อเปรียบเทียบการยิ้มกับการแสดงสีหน้าแบบอื่น เช่น โกรธ เศร้า เคร่งขรึม วิตกกังวล ฯลฯ แล้ว จะพบว่าการยิ้มใช้กล้ามเนื้อใบหน้าน้อยกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นมาก การยิ้มจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และทำให้ใบหน้าดูดีกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่น ๆ ด้วย

- เพื่อให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณได้ทำงานซะบ้าง
- ถ้าคุณยิ้มให้เขา มีหรือเข้าจะไม่ยิ้มตอบคุณ
- อย่างน้อยคุณจะได้ให้เขาช่วยเตือนว่ามีเศษผักสีเขียวมรกต ยังคง สนุกสนานในปากคุณ
- การยิ้มเป็นการเริ่มต้นแห่งมิตรภาพที่ดีที่สุด
- ถ้าคุณไม่ยอมยิ้ม แล้วใครจะได้เห็นล่ะว่า คุณมีลักยิ้มที่น่ารักที่สุด
- เมื่อคุณทำผิดแล้วโดนจับได้ การแก้ตัวก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่การยิ้มเจื่อน ๆ แบบว่า แย่จัง!! คุณจะดูเหมือน พวกที่สำนึกผิด แล้วใครล่ะ จะกล้าโกรธคุณลง
- ยิ้มสวย ๆ จะทำให้คนหน้าตาธรรมดา ๆ ดูดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ
- การยิ้มในวันที่อ่อนล้าหรือเซ็งสุด ๆ ในชีวิต จะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกดีขึ้น
- ถ้าคุณพูดไม่เก่ง ลีลาไม่เด็ด ให้ยิ้มมาก ๆ เป็นการชดเชย
- รอยยิ้มเป็นสัญญาณบอกใคร ๆ ว่าคุณพร้อมจะเปิดใจแล้ว
- ยิ้มดี ๆ เพียงครั้งเดียวดีกว่าคำพูดนับแสนคำ



ยิ้มเกิดขึ้นได้อย่างไร
รอยยิ้ม เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ 2 มัดใหญ่ คือ ไซโกเมติก เมเจอร์ ( Zygomatic major) ที่จะช่วยดึงมุมปากให้ยกขึ้นไปหาโหนกแก้ม และออร์บิคิวลาริส ออคิวไล (Orbicularis Oculi ) ที่จะช่วยดึงเนื้อแก้มและเบ้าตาให้ยกขึ้น

ยิ้มมีผลต่อร่างกายอย่างไร
จากการศึกษาพบว่า เมื่อกล้ามเนื้อใบหน้าเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นรอยยิ้ม จะส่งผลทำให้โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิลดลง จะทำให้เกิดความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ซึ่งจะตรงข้ามกับการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าจะทำให้สมองมีอุณหภูมิสูงขึ้น และเกิดความรู้สึกไม่สบาย นอกจากนี้ ในขณะที่คนเรายิ้ม หัวใจจะเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะผ่อนคลาย ต่อมหมวกไตจะทำงานน้อยลง ฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกขับออกมาน้อยลงด้วย การยิ้มจึงช่วยลดความเครียดได้

การยิ้มมีความสัมพันธ์กับความสุขอย่างไร
เป็นที่สงสัยกันมากว่า คนเรามีความสุขแล้วจึงยิ้ม หรือยิ้มก่อนแล้วจึงมีความสุข ทำให้นักวิชาการต้องทำการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ลงไป และผลที่ได้ก็พบว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง นั่นคือ เมื่อคนเรารู้สึกมีความสุข เราจะแสดงออกทางสีหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่ชอบเก็บกดอารมณ์ของตน เวลามีความสุขก็ยังพยามบังคับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึม ซึ่งต้องใช้กล้ามเนื้อใบหน้ามากกว่า เสียพลังงานมากกว่า และทำให้ไม่สามารถมีความสุขได้อย่างเต็มที่ในทางตรงข้าม แม้คนเราจะยังไม่รู้สึกมีความสุข แต่เมื่อยิ้มแล้วสักพัก จะรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขได้เช่นกัน

สารพันปัญหาสายตาผิดปกติ

คำถาม : ใส่แว่นตา ทำให้สายตาสั้นมากขึ้นหรือไม่
คำตอบ : ไม่ทำให้สายตาสั้นขึ้น สายตาจะสั้นมากขึ้นเองตามธรรมชาติของคนสายตาสั้น แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าใส่แว่นสายตาสั้นที่เกินกว่าค่าสายตาที่แท้จริงเป็นเวลานาน ก็จะทำให้มีสายตาสั้นมากขึ้นชั่วคราวจากแว่นตาที่ไม่ตรงนี้ได้ มักพบในเด็กที่ไม่ได้หยอดยาลดการเพ่งของตาก่อนการวัดเบอร์แว่นตา

คำถาม เป็นคนสายตาสั้นหรือเอียง แล้วใส่แว่นตา ทำให้สายตาสั้นหรือเอียงมากขึ้นหรือไม่
คำตอบ : ไม่ เพราะสายตาสั้น เอียง หรือยาว เป็นธรรมชาติของบุคคลนั้น ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ไม่เกี่ยวกับแว่นตา

คำถาม : นอนอ่านหนังสือ ทำให้สายตาเอียงหรือไม่
คำตอบ : ไม่ เพราะสายตาเอียงเป็นเรื่องธรรมชาติของแต่ละบุคคล ไม่เกี่ยวกับการนอนอ่านหนังสือ

คำถาม : อ่านหนังสือในที่แสงสว่างไม่เพียงพอ ทำให้ตาเสียหรือสายตาไม่ดีหรือไม่
คำตอบ : ไม่ เพียงแต่จะทำให้เห็นตัวหนังสือได้ไม่ชัดเจน และปวดเมื่อยล้าตาได้ง่าย

คำถาม : ดูโทรทัศน์ใกล้ไป ทำให้ตาเสียหรือไม่
คำตอบ : ไม่ เพียงแต่อาจจะไม่สบายตา คนที่ดูโทรทัศน์ใกล้ผิดปกติอาจจะเพราะว่าตามองเห็นไม่ชัดอยู่แล้วจึงต้องเข้าไปดูใกล้ๆ

คำถาม : ทำงานใช้คอมพิวเตอร์มาก ต้องใช้แว่นตากันแสงหรือแผ่นกรองแสงหรือเปล่า
คำตอบ : จอภาพคอมพิวเตอร์มีรังสีแผ่ออกมา แต่ปริมาณน้อยซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อตาและร่างกาย ปัจจุบันนี้จอคอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้มีแสงสะท้อนจากจอมาก จึงไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตากันแสงหรือแผ่นกรองแสง

คำถาม : แว่นตาดำที่มีขายตามท้องตลาด อันละ 200 บาท ใช้ได้หรือไม่ กันแสง UV ได้ 99 % จริงหรือไม่
คำตอบ : ใช้กันแดดกันลมได้ อย่างน้อยก็ลดปริมาณแสงเข้าตาได้ส่วนหนึ่ง แต่กันแสง UV ซึ่งเป็นอันตรายต่อดวงตาได้ตามป้ายบอกไว้หรือไม่นั้น ไม่สามารถรู้ได้ต้องใช้เครื่องมือพิเศษตรวจ

คำถาม : ทำ LASIK ดีหรือไม่
คำตอบ : ดีครับ เหมาะสำหรับคนสายตาผิดปกติเช่น สั้น ยาว เอียง ที่ไม่ต้องการใส่แว่นตาและคอนแทคเลนส์ หรือเพื่อลดกำลังของแว่นตาลงจะได้ลดความหนาและน้ำหนักของแว่นตา ปัจจุบันเทคโนโลยีของเครื่องทำ LASIK พัฒนาขึ้นมากทำให้ผลการผ่าตัดแม่นยำ ภาวะแทรกซ้อนน้อย แต่อาจมีข้อด้อยบ้างในบางคนเช่นความคมชัดลดลงตอนกลางคืนเมื่อเทียบกับแว่นตา อย่างไรก็ตามการผ่าตัดทุกชนิดย่อมเสี่ยงที่จะมีภาวะแทรกซ้อนที่แม้จะมีโอกาสเกิดน้อยก็ตาม คงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่ได้ เช่นสะดวกในการเล่นกีฬา กิจกรรมบางประเภท ส่งเสริมในอาชีพการงาน กับข้อด้อยที่อาจมีได้รวมทั้งค่าใช้จ่าย โดยปกติแล้วจะมีการปรึกษาพูดคุยระหว่างแพทย์กับผู้สนใจเป็นอย่างดีก่อน รวมทั้งตรวจตาว่าเหมาะสมที่จะทำ LASIK ได้หรือไม่

คำถาม : อายุ 50 ปี อ่านหนังสือไม่ชัด ต้องใช้แว่นตาเวลาอ่านหนังสือ ทำ LASIK ได้หรือเปล่า จะได้ไม่ต้องใส่แว่นตาเวลาอ่านหนังสือ
คำตอบ : ได้ แต่ผลยังไม่ถึงขั้นน่าพอใจมาก ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้ทำ LASIK ในกรณีนี้ เพราะ LASIK เป็นการเปลี่ยนความโค้งของกระจกตาดำ แต่ผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไปจะเริ่มมีปัญหาเวลามองใกล้ซึ่งมีสาเหตุมาจากเลนส์ตาในลูกตาที่แข็งมากขึ้นตามอายุ เวลาดูใกล้เลนส์ตาจะกลมขึ้นเพื่อเพิ่มกำลังสายตาสำหรับดูใกล้ แต่พอเลนส์แข็งขึ้นทำให้คุณสมบัตินี้ลดลงเรื่อยๆ จนอายุประมาณ 40 ปี กำลังสายตาที่จะดูใกล้จะไม่เพียงพอจึงต้องยื่นหนังสือห่างจากตามากขึ้นจนต้องใช้แว่นสายตามาช่วยเพิ่มกำลังสายตา ซึ่งจะต้องเพิ่มกำลังแว่นตาขึ้นเรื่อยๆ ตามกำลังสายตาที่ลดลงจากเลนส์ตาที่แข็งขึ้น ดังนั้น LASIK ซึ่งแก้ปัญหาเฉพาะที่กระจกตาดำ จึงยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างน่าพอใจ จำเป็นต้องใช้แว่นตาเวลามองใกล้ แต่ในคนอายุน้อยจะยังไม่มีปัญหานี้ ทำ LASIK แล้วสามารถเห็นชัดทั้งใกล้และไกล

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554


นมแพะ และ ประโยชน์ ทางเลือกใหม่ของคนรักสุขภาพ
นมแพะหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้วแต่ก็คงมีอีกหลายๆ คนที่ยังไม่เคยได้ลองลิ้มชิมรสของเจ้า นมแพะ กันดูบ้างเลยใช่ไหมล่ะค่ะว่ารสชาติเป็นอย่างไรจะสู้นมวัวได้บ้างรึเปล่า แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ประโยชน์ของนมแพะ นั้นมีคุณค่าเทียบเท่ากับน้ำนมแม่กันเลยทีเดียวเชียวแหละค่ะ ส่วนใหญ่แล้วคนเราจะรู้จักเพียงแค่ นมวัว หรือ นมโค และก็ นมควาย เป็นส่วนใหญ่เท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ก็เริ่มมีการนำ นมแพะ มาขายกันมากขึ้น แต่ราคาอาจจะยังสูงอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับ นมวัว และ นมควาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากจะอยากลองหันมาบริโภคนมแพะกันสักครั้งก็ลองมาทำความรู้กับ ประโยชน์ของนมแพะ กันดูบ้างเลยค่ะ

ผลการวิจัยทางการแพทย์ทุกฉบับลงมติว่า นมแม่ดีที่สุดครบถ้วนไปด้วยโภชนาการที่สมบูรณ์พร้อมช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในด้านต่างๆ และไม่มีค่าใช้จ่ายสูงลิบจนต้องกุมขมับ ถ้าสิ่งที่ดีที่สุดและมีเพียงหนึ่งเดียวในโลกนั้นกลายเป็นปัญหาใหญ่เนื่องจากสุขภาพของแม่อ่อนแอ มีความเสี่ยงต่อโรคทางพันธุกรรม หัวนมบอด ไม่สามารถขับน้ำนมได้เพียงพอกับความต้องการของทารก อย่างนั้นหนูน้อยตาแป๋วเพิ่งลืมตาดูโลกคงต้องร้องเสียงหลงรอคอยไปทั้งชีวิตหรือ แต่เมื่อทางเลือกใหม่เกิดขึ้นสามารถหานมสัตว์ชนิดหนึ่งมาทดแทนนมแม่และสามารถดื่มได้อย่างต่อเนื่องจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นั่นคือ "นมแพะ" ซึ่งคุ้นเคยกันในประเทศแถบตะวันตกและประเทศแปซิฟิกใต้ อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ พวกเขาพิสูจน์แล้วว่า นมแพะมีระบบคัดหลั่งเหมือนกับนมแม่ นมแพะจึงเป็นนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากและมีโอกาสแพ้น้อยกว่า
ประโยชน์ ของ นมแพะ

- น้ำนมแพะมีชนิดของโปรตีนที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ที่เรียกว่า เบต้า แลคโต กลอบูลินอยู่ปริมาณต่ำกว่านมวัวถึง 3 เท่า ทำให้โอกาสแพ้นมน้อย น้ำนมแพะย่อยได้ง่ายเนื่องจากมีโปรตีนชนิดย่อยยากที่เรียกว่า แอลฟ่า เอสวัน เคซีน อยู่น้อยเมื่อเทียบกับนมวัวมีขนาดไขมันที่เล็กกว่าและมีไขมันชนิดที่ย่อยได้ง่าย

- ลักษณะโครงสร้างโปรตีนในนมแพะมีโปรตีนหลักเป็นเบต้าเคซีน ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับกับแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม เหล็ก จึงทำให้นมแพะดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุที่สูงกว่า

- แล้วคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับเด็กล่ะ นมแพะประกอบด้วย สารไบโอแอคทีฟ คอมโพแนนท์ ตามธรรมชาติเหมือนนมแม่ ซึ่งทำให้นิวคลีโอไทด์ 5 ชนิด ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันเต็มไปด้วยทอรีนช่วยเสริมพัฒนาการทางสมองและสายตา มีโพลีเอมีนส์ลดการอักเสบและการแพ้อาหารที่ลำไส้ และเกรทแฟคเตอร์ที่ช่วยกระตุ้นการเจริญของร่างกายมีปริมาณแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่านมวัว

- ถึงแม้ว่าข้อเสียของนมแพะจะมีกลิ่นคาวแต่นักวิจัยจากบริษัทแดรี่โกท จำกัด ประเทศนิวซีแลนด์ บอกว่าเด็กทารกจะไม่รับรู้กลิ่นนั้นแต่ถึงอย่างนั้นเขาว่ากรรมวิธีรีดนมเบาๆ และรวดเร็วนั้น ตลอดจนกระบวนการเปลี่ยนนมสดเป็นนมผงช่วยลดกลิ่นคาวได้

- พวกเขายังแนะนำเพิ่มเติมอีกว่าน้ำสะอาดที่ใช้ชงนมไม่ควรร้อน เกิน 70 องศาเซลเซียส เพราะหากร้อนกว่านั้นมันจะไปทำลายสารอาหารและวิตามินในนมเสียไปและห้ามใช้นมสดพาสเจอร์ไรซ์สเตอริไรซ์หรือยูเอชทีเลี้ยงทารกแรกเกิดถึง 6 เดือนเป็นอันขาด

- ทิ้งท้ายให้อยากลิ้มลองว่า คุณแม่ชาวออสซี่สร้างสถิติใช้นมแพะต่อเนื่องกว่า 73 เปอร์เซนต์ในขณะที่แม่ๆ เริ่มเบื่อนมวัวกันบ้างแล้ว

บันได 12 ขั้นตัวช่วยเลิกสูบบุหรี่


บันได 12 ขั้นตัวช่วยเลิกสูบบุหรี่ - เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ขานรับ 12 ขั้นบันไดของการเลิกสูบบุหรี่ ที่เสนอโดย ดร.โธมัส กลินน์ จากสมาคมต่อต้านมะเร็ง สหรัฐอเมริกา ในที่ประชุมเครือข่ายบริการช่วยคนให้เลิกสูบบุหรี่ระดับโลก ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า การพยายามช่วยให้คนเลิกสูบบุหรี่ เลิกบุหรี่ได้ และมีสุขภาพที่ดีขึ้น ต้องผ่านขั้นตอนระดับต่างๆ ที่อาจจัดได้ถึง 12 ระดับด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ตั้งแต่



1.การที่ผู้สูบบุหรี่เริ่มคิดที่เลิกสูบ
2.บันทึกเหตุจูงใจที่จะเลิก
3.คิดถึงการกำหนดวันที่จะเลิก
4.กำหนดวันที่จะเลิก
5.ยังไม่เลิกแต่สูบน้อยลง
6.เลิกสูบได้ไม่กี่ชั่วโมง
7.เลิกสูบได้ 1 วัน
8.เปลี่ยนจากการสูบทุกวันเป็นสูบเป็นครั้งคราว
9.เลิกได้ 1 อาทิตย์
10.เลิกได้ 1 เดือน
11.เลิกได้ 1 ปี
12.เลิกได้ 5 ปี
ดังนั้น การช่วยให้คนเลิกสูบบุหรี่ หากสามารถขยับผู้สูบบุหรี่ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นในแต่ละขั้น ก็ควรจะถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว และจะทำให้การช่วยให้ผู้สูบบุหรี่ก้าวสู่บันไดขั้นที่สูงขึ้นเป็นไปได้ง่ายขึ้น จนถึงขั้นสุดท้ายคือการเลิกสูบอย่างถาวร ผู้ที่จะช่วยให้คนเลิกสูบบุหรี่ รวมทั้งผู้ที่พยายามเลิกสูบบุหรี่เองจึงต้องพยายามไต่บันไดขึ้นไปทีละขั้น และแม้ยังเลิกไม่ได้เด็ดขาดก็ไม่ควรที่จะท้อถอยที่จะพยายามต่อไปจนเลิกได้สำเร็จ

ทั้งนี้ จากการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ระดับโลกของคนไทยต้นปีนี้ พบว่าในจำนวนคนไทย 12 ล้านคนที่สูบบุหรี่ ร้อยละ 60 คิดที่จะเลิกและในจำนวนคนที่คิดจะเลิก ครึ่งหนึ่งได้พยายามลงมือเลิกสูบใน 12 เดือนก่อนการสำรวจ ทั้งนี้ มีคนไทยเลิกสูบบุหรี่ได้แล้ว 4.6 ล้านคน และ 9 ใน 10 เลิกได้ด้วยตนเอง ผู้สูบบุหรี่ทุกคนจึงควรลงมือเลิกและพยายามต่อไปจนสำเร็จ หากต้องการข้อมูลหรือความช่วยเหลือ สามารถติดต่อหมายเลข 1600 สายด่วนช่วยคนเลิกบุหรี่


Tags:การดูแลสุขภาพการเลิกบุหรี่สุขภาพ< Prev Next >

10 สถานการณ์คุกคามสุขภาพคนไทย

10 สถานการณ์คุกคามสุขภาพคนไทย - แนะสร้างครอบครัว-ชุมชนเข้มแข็งลดพฤติกรรมเสี่ยง

สสส.เปิด 10 สถานการณ์คุกคามสุขภาพคนไทย ทั้งหวัดใหญ่ 2009 เอดส์ โรคเรื้อรัง อุบัติเหตุ เหล้า บุหรี่ นับวันยิ่งรุนแรง เหยื่อส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชน ต้องจ่ายค่ารักษาสุขภาพ 134,587 ล้านบาท ชี้มาตรการที่ผ่านมายังอ่อน แนะเน้นสร้างความเข้มแข็งในครอบครัว-ชุมชน ลดพฤติกรรมเสี่ยง สร้างระบบบริการเข้มแข็ง

นพ.พินิจ ฟ้าอำนวยผล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญของคนไทยที่พบมากที่สุดคือปัญหาด้านสุขภาพ และคุณภาพชีวิต จากการประเมินสถานการณ์ด้านสุขภาพคนไทยปี 2552 โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า มาตรการและการควบคุมโรคต่างๆ ที่ผ่านมา อาจยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร

เพราะยังมีปัญหาสุขภาพกว่า 10 สถานการณ์ของโรคที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้แก่



1.ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่มีผู้ป่วยและเสียชีวิตกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ จากรายงานผู้เสียชีวิตถึงวันที่ 19 ธ.ค.มีจำนวน 191 ราย
2.โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พบว่าคนส่วนใหญ่ไม่ป้องกัน จากผลสำรวจใช้ถุงยางอนามัยเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น
3.โรคเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือด รวมถึงโรคมะเร็งป่วย ซึ่งมีผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลรวมกว่า 1.4 ล้านคน
4.อุบัติเหตุ ซึ่งในรอบปี 2552 เกิดอุบัติเหตุ 23,000 ครั้ง เสียชีวิต 3,000 ราย สร้างความสูญเสียกว่า 600 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากความประมาทในการขับขี่
5.ปัญหาสุขภาพจิต ในปี 2552 พบว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีคะแนนสุขภาพจิตที่ต่ำกว่าคนทั่วไปร้อยละ 14.7
6.พฤติกรรมสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์ ยาเสพติด ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา โดยพบว่าปี 2549 มีผู้สูบบุหรี่ 35,000 ล้านมวนต่อปี รวมไปถึงการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า คือเพิ่มจาก 1,500 ล้านลิตร ในปี 2539 เป็น 2,500 ล้านลิตร ในปี 2549 และปัญหายาเสพติดก็เริ่มกลับเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
7.สิ่งแวดล้อม อาทิ การติดเชื้อต่างๆ จากสารเคมี ยากำจัดศัตรูพืช โดยพบมากกว่า 81 ราย ต่อประชากรแสนคน
8.ปัญหาความรุนแรง เริ่มก่อตัวขึ้นในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างเท่าตัว ในปี 2550 มีเด็กและเยาวชนถูกจับกุมด้วยคดีทำร้ายร่างกายกว่า 7,700 คดี เพิ่มจาก 4,800 คดีในปี 2546
9.วิกฤตเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหาร เห็นได้จากการถูกเลิกจ้างทำให้จำนวนคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น จำนวน 460,000 คนในปี 2551 หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.4 และในปี 2552 พบจำนวนคนว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 เทียบกับปี 2551
10.ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ซึ่งคนไทยมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพรวมแล้วกว่า 134,587 ล้านบาท
นพ.พินิจ แนะนำวิธีจัดการกับปัญหาเพื่อให้วิกฤติสุขภาพของคนไทยดีขึ้นควรเน้นหนัก 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ 1.เน้นสร้างความเข้าใจในเด็กและเยาวชนเป็นหลัก เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงของปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย อาทิ ปัญหาเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ การตั้งครรภ์ ยาเสพติด ความรุนแรง ปัญหาสุขภาพจิต การฆ่าตัวตาย 2.สร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยลดการใช้สารเคมี เน้นการพึ่งพาตนเอง เสริมสร้างความสมานฉันท์ในสังคม จัดระบบการดูแลผู้ที่มีปัญหาสุขภาพในชุมชน ได้แก่ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต และ 3.สร้างความเข้มแข็งของระบบบริการสุขภาพแบบผสมผสาน เน้นการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค เฝ้าระวังการระบาดของโรคอุบัติใหม่ คัดกรองความเสี่ยงโรคเรื้อรัง รวมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในพื้นที่ ควบคู่ไปกับการรักษาโรคเรื้อรังที่ต่อเนื่อง เพื่อลดโอกาสเกิดความพิการและเสียชีวิต โดยการสนับสนุนจากโรงพยาบาล ในรูปแบบของเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอ



ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

อย่าติดหวาน น้ำตาลคือยาพิษ


คงจะเป็นคำกล่าวที่ดูเกินจริงไปบ้าง เพราะน้ำตาลไม่ใช่ยาพิษที่จะทำให้คุณเสียชีวิตทันทีทันใดที่รับประทานน้ำตาล แต่จะมีผลเสียต่อ สุขภาพ ร่างกาย ถ้าหากรับประทานมากเกินไป แต่ความเป็นจริงนั้นก็คือน้ำตาลทรายขาวมิได้ให้คุณประโยชน์ใด ๆ ต่อ สุขภาพ ร่างกายมากนัก การรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยน้ำตาลทรายขาวเป็นประจำมีแต่จะทำให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ และเป็นผลเสียต่อ สุขภาพ ได้ง่าย ๆ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคปวดศรีษะ โรคเกี่ยวกับหลอดเลือด อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ฯลฯ ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะบริโภคน้ำตาลทรายขาวมากเกินไป

จริงอยู่ว่าสมองของคนเราต้องการน้ำตาลไปเลี้ยงบำรุงร่างกาย แต่นั่นหมายถึงน้ำตาลที่บริสุทธิ์ มิได้ผ่านกระบวนการทางเคมีต่าง ๆ คนเราควรรับประทานน้ำอ้อย หรือน้ำผึ้งเพื่อเป็นการให้ความหวานต่อร่างกายแทนน้ำตาลทรายขาว การปรุงอาหารต่าง ๆ ควรใช้น้ำตาลทรายแดงเพียงเล็กน้อย ขนมหวานต่าง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานเพราะความหวานจากผลไม้อันเป็นเสมือนน้ำตาลจากธรรมชาติ น้ำผึ้ง น้ำอ้อย จะสามารถให้น้ำตาลแก่สุขภาพร่างกายได้อย่างพอเพียง



ร่างกายเมื่อขาดน้ำตาลในกระแสเลือดจะทำให้คุณหดหู่ หม่นหมอง เครียด และสมองทำงานไม่ได้ดี การตัดสินใจ ความคิดความอ่านก็จะพลอยย่ำแย่ไปด้วย ดังนั้นความหวานจึงจำเป็นต่อ สุขภาพ ร่างกายเรา แต่น้ำตาลที่ร่างกายต้องการคือน้ำตาลบริสุทธิ์เท่านั้น

การที่คุณรับประทานผลไม้ทุก ๆ วันก็เท่ากับว่าเติมน้ำตาลให้ร่างกายอย่างพอเพียงแล้ว ขนมหวานต่าง ๆ น้ำอัดลม อาหารปรุงด้วยน้ำตาลทรายขาว มิได้ให้แร่ธาตุหรือสารอาหารที่ร่างกายต้องการเลยแม้แต่น้อยนิด

คนเรานั้นเสพติดรสหวานของน้ำตาลทราย คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกให้พวกเราทุกคนโยนน้ำตาลออกไปให้หมดจากบ้านและเลิกกินน้ำตาลทรายขาวตลอดชีวิต แต่ถ้าคุณค่อย ๆ ลดและเลี่ยงการเติมน้ำตาลทรายขาวใส่ในอาหารและเครื่องดื่ม เลิกแตะต้องขนมเค้ก ขนมต่าง ๆ ที่มีน้ำตาลทรายขาวเป็นส่วนประกอบ คุณจะพบว่าร่างกายบริสุทธิ์สะอาดขึ้น สดใส สมองปลอดโปร่ง ไม่เป็นโรคปวดศรีษะ ไม่หงุดหงิดง่าย โรคประจำตัวต่าง ๆ จะคลายหายไปอย่างรวดเร็วอย่างอัศจรรย์ที่สุด

กับแกล้มที่ดีของนักดื่ม


กับแกล้มที่ดีของ นักดื่ม ความจริงแล้วการดื่มเหล้านั้นเป็นการทำลาย สุขภาพ ให้ย่ำแย่ได้ง่ายที่สุุด ดังนั้นจึงควรเลิกนิสัย นักดื่ม ให้ได้จะเป็นการดีต่อ สุขภาพ ที่สุด

แต่ในขณะที่ยังเลิกดื่มไม่ได้หรือคุณที่นานทีปีหนจะดื่มก็ควรจะรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ๆ การรับประทานอาหารหนัก ๆ หรือมัน ๆ ทำให้ ระบบย่อยอาหาร ต้องทำงานหนักขึ้นอีกหลายเท่า จะมีแต่โทษต่อ สุขภาพ ร่างกาย ของคุณเอง

และถ้าไม่รับประทานอาหารใด ๆ เลยระหว่างที่ดื่มก็ยิ่งจะทำให้แย่หนักเข้าไปอีก อาหารที่เหมาะสมมีหลายอย่าง เช่น

ตับ หอยแครง หอยนางรม หอยแมลงภู่ ปู เต้าหู้ กุ้ง ผัก เป็นต้น แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะเลิกนิสัยเป็น นักดื่ม จะดีต่อ สุขภาพร่างกาย ที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โรคพยาธิตัวจี๊ด


เกิดจากพยาธิชื่อ Gnathostoma spirigerumพยาธิตัวแก่จะอาศัยอยู่ในโพรงของก้อนเนื้องอกที่กระเพาะอาหารของโอสท์ธรรมดาได้แก่
หมู แมว สุนัข สัตว์ป่า ไข่พยาธิจะออกมากับอุจาระสัตว์ ไข่จะเจริญเป็นตัวอ่อนในน้ำ กุ้งไรจะกินตัวอ่อนระยะนี้เข้าไป ตัวอ่อนนี้จะเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนระยะที่สองในกุ้งไร ปลา กบ งู นก จะกินกุ้งไรแล้วตัวอ่อนจะเจริญเป็นตัวอ่อนระยะที่สาม ในสัตว์เหล่านั้น ตัวอ่อนระยะที่3(จะอาศัยในกล้ามเนื้อและมีซีสท์หุ้มเป็น)ระยะติดต่อ เมื่อโฮสท์รับประทานปลาหรือกบ ตัวอ่อนระยะที่3จะเจริญเป็นตัวแก่ในผนังกระเพาะอาหาร

นก งู กบเป็นsecond intermediate host เมื่อกินปลาหรือกบ ตัวอ่อนระยะที่3จะไม่เจริญเติบโตเป็นตัวแก่
แต่จะยังเป็นระยะที่3 และยังคงเป็นระยะติดเชื้อ เมื่อคนกินก็จะติดเชื้อได้ คนจะไดรับเชื้อนี้โดยการรับประทานปลาหรือสัตว์น้ำดิบๆเช่น
ปลาย่าง ส้มฟัก ที่มีตัวอ่อนระยะที่3 หรือดื่มน้ำซึ่งมีกุ้งไร

อาการและอาการแสดงจะขึ้นกับว่าพยาธิไชไปที่ไหนก็เกิดอาการที่ตำแหน่งนั้น อาการอาจจะเกิดหลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 24 ชั่วโมงอาการแรกจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไข้ คลื่นไส้ ลมพิษถ้าเกิดในอวัยวะที่สำคัญก็เกิดอาการได้มาก ถ้าไปในที่ไม่สำคัญอาจจะไม่เกิดอาการเลย

อาการทางผิวหนังที่สำคัญคืออาการบวมเคลื่อนที่ เช่นบวมที่มือแล้วไปที่แขน ไหล่ หน้า ศีรษะ จะบวมๆแดงๆ 3-10 วัน

อาการทางตา ถ้าพยาธิไชไปที่หนังตาจะทำให้หนังตาบวมจนตาปิด ถ้าเข้าไปในตาอาจจะทำให้ตาบอดได้

อาการในช่องท้องอาจจะทำให้เกิดการอักเสบของช่องท้อง คล้ายไส้ติ่งอักเสบ

อาการทางสมอง ถ้าพยาธิไชเข้าสมองหรือน้ำไขสันหลังผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ไข้ คอแข็ง ปวดเสียวอย่างมากตามเส้นประสาทซึม หมดสติ

การวินิจฉัย

ยังไม่มีการวินิจฉัยที่แน่นอน นอกจากจะได้ตัวพยาธิที่ไชออกจากผิวหนัง ในทางปฏิบัติจะอาศัย

•ประวัติการรับประทานอาหารดิบๆ หรือดิบๆสุกๆโดยเฉพาะปลาน้ำจืด เช่น ส้มฟัก กบยำ ปลาดุกย่างไม่สุก
•ลักษณะคลินิกที่มีอาการบวมเคลื่อนที่
•ตรวจเลือดพบตัว eosinophil
•ตรวจน้ำไขสันหลังจะพบเซลล์ eosinophil
การรักษา

•Albendazole 400 มก.วันละ 2 ครั้งให้ 21 วัน
•Thiabendazole ให้ 50 มก/กก/วัน แบ่งให้วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 5 วัน

เชื้อรา Candidiasis (Thrush)


ผู้ป่วยโรคเอดส์มักจะติดเชื้อรา Candida albicansที่ปากมากที่สุดโดยมากมักจะเป็นในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ในระยะท้ายของโรค
อาการของโรค

อาการที่ผู้ป่วยนำมามีได้หลายรูปแบบ เช่นเป็นฝ้าขาว ( Thrush)ในปาก หรือผื่นแดง( Erythematous Candidiasis) มักจะเกิดที่เพดานปากและลิ้น ในปากบางคนมีลักษณะปากนกกระจอก อาการที่ผู้ป่วยมาอาจจะมีอาการ กลืนลำบาก เจ็บคอ ฝ้าขาวที่คอ ลิ้น

ช่องคลอด ;ตกขาว คันช่องคลอดเป็นๆหายๆ
การวินิจฉัย

ตรวจพบฝ้าขาวที่คอ และหรือช่องคลอด ส่งตรวจทางจุลชีวะ
การรักษา

Fluconazole, Nystatin, Clotrimazole Troches or cream, Ketoconazole, Itraconazole การให้ยาควรใช้ยาเฉพาะที่ก่อน เช่น ยากรวกคอ ยาเหน็บ หรือยาทา ถ้าไม่หายจึงใช้ยารับประทาน การให้ยาควรให้ 7 วันอาการจะดีขึ้นใน 2-5 วันแต่อาจจะกลับเป็นซ้ำ
•ยาเฉพาะที่เช่น ยาอมที่มียา Clotrimazole (100 มก)อมวันละ 5 ครั้ง หรืออาจจะใช้ชนิดที่ใช้สอดช่องคลอดอมวันละครั้ง หรืออาจจะใช้ยาที่มีส่วนผสมของ Nystatin ถ้าเป็นชนิดที่เหน็บช่องคลอด(100000 ยูนิต)อมวันละ 3 ครั้ง ถ้าเป็นชนิดที่ใช้ในปาก (200000 ยูนิต)อมวันละ 5 ครั้ง หากเป็นชนิด ชนิดครีมจะใช้ทาเชื้อราที่มุมปาก หรือที่เรียกปากนกกระจอกซึ่งมีส่วนผสมของ nystatin,
ketoconazole, หรือ clotrimazole
•ยารับประทาน Ketoconazole(200 มก)วันละครั้ง หรือ Fluconazole (Diflucan) (100 มก)วันละครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์
การป้องกันการติดเชื้อ

จากหลักฐานพบว่าการให้ยาป้องกันเมื่อระดับเซลล์ CD4s น้อยกว่า <75 or 5%โดยให้ยา Fluconazole 100-200mg/dayสามารถลดการติดเชื้อ candida และ cryptococcus แต่ไม่แนะนำให้ยาป้องกันเนื่องจากการรักษาเชื้อราในปากได้ผลดี อัตราการตายของโรคต่ำ เสี่ยงต่อการที่เชื้อ candida ดื้อยาและเสี่ยงต่อการมีปฏิกิริยากับยาตัวอื่น
การป้องกันการรับเชื้อ

เชื้อรา candida สามารถพบได้ที่เยื่อบุในปากและช่องคลอด ยังไม่มีวิธีป้องกันการรับเชื้อ
การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่ควรให้ยาป้องกันการกลับเป็นซ้ำของเชื้อราไม่ว่าจะเป็นที่ปาก หรือช่องคลอดเนื่องจากการให้ยาสามารถรักษาได้ผลดี แต่สำหรับผู้ที่กลับเป็นซ้ำบ่อยควรจะให้ Fluconazole 100-200mg/day
ผลข้างเคียงของยา

•Nystatin: ท้องร่วง เสียดท้องเมื่อได้ยาขนาดสูง.
•Fluconazole,Itraconazole: คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ปวดท้อง
•Ketoconazole: มีพิษต่อตับ ปวดศีรษะ มึนงง
ปฏิกิริยาระหว่างยา

Fluconazole: ให้หลีกเลี่ยงยาเหล่านี้ Hismanal, Seldane, Warfarin, Rifampin, oral contraceptives,Cimetidine, Dilantin,Hydrochlorothiazide, and Sulfonylureas.

Itraconazole,Ketoconazole.ให้หลีกเลี่ยงยา Seldane,Hismanal, Antacids & ddI, take 2 hrs apart

โรคบาดทะยักคืออะไร

โรคบาดทะยักเกิดจากเชื้อที่อยู่ในดินชื่อ Clostridium tetani ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสร้างสารพิษ toxin ที่เรียกว่า tetanospasmin สารพิษดังกล่าวจะจับกับเส้นประสาททำให้การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ

เชื้อมักจะเข้าทางบาดแผลบางครั้งแผลอาจจะเล็กมากจนไม่เป็นที่สังเกต แผลที่ลึก หรือแผลที่มีเนื้อตายมากจะเกิดติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนั้นเชื้ออาจเกิดจากการทำแท้ง ฉีดยาเสพติด แผลไฟไหม้ แผลจากแมลงกัด

หลังรับเชื้อกี่วันจึงเกิดอาการ

ผู้ป่วยจะเกิดอาการหลังจากได้รับเชื้อ 2 วันถึง 2 เดือนโดยเฉลี่ย 14 วัน

อาการของโรคบาดทะยัก

โรคบาดทะยักมักเป็นกับกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ผู้ป่วยจะเริ่มเกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อรอบแผลหลังจากนั้น 1-7 วันการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อจะกระจายทั่วร่างกาย ผู้ป่วยจะมีการเกร็งของกล้ามเนื้อกรามทำให้อ้าปากไม่ได้ กลืนน้ำลายลำบาก คอ หลังเกร็ง และปวด หลังจากนั้นกล้ามเนื้อทั่วร่างกายก็จะเกร็งทั้งหมดโดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ช่วยหายใจทำให้หายใจลำบาก และอาจเสียชีวิตจากหายใจวาย
การรักษา

•ต้องนอนในโรงพยาบาลควรอยู่ใน ICU ห้องที่อยู่ควรเงียบ แสงสว่างไม่มาก

•ให้ยาปฏิชีวนะ นิยมให้ penicillin

•ให้ยาคลายกล้ามเนื้อ

•ให้ยา tetanus antitoxin

•ทำความสะอาดแผล

ต้องรักษานานแค่ไหน

ถ้าเริ่มการรักษาเร็วส่วนใหญ่ใช้เวลา 4-6 สัปดาห์

การป้องกัน

•โดยการฉีดวัคซีน TOXOID ตามกำหนด และซ้ำทุก 10 ปี

•ทำความสะอาดแผล และให้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม

การติดเชื้อราVulvovaginal Candidiasis (VVC)

เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ C. albicans แต่ก็อาจจะเกิดจากเชื้ออื่นก็ได้เกิดจากการที่เชื้อราในช่องคลอดเจริญมากเนื่องจากความเป็นกรดเสียไป โรคนี้ไม่ติต่อทางเพศสัมพันธ์

•ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อรา

◦ความเครียด
◦เบาหวาน
◦การตั้งครรภ์
◦การใช้ยาคุมกำเนิด
◦การใช้ยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะยาในกลุ่ม tetracyclin
อาการและอาการแสดง

◦ตกขาวมากขึ้น
◦ตกขาวเป็นเมือกขาว
◦คันและแสบบริเวณช่องคลอด
◦เจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์
การแบ่งชนิดของโรคเชื้อราในช่องคลอด
จะแบ่งการติดเชื้อออกเป็นการติดเชื้อที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน Uncomplicated VVC และการติดเชื้อที่มีโรคแทรกซ้อน Complicated VVC โดยมีเกณฑ์ดังต่อไปนี้

ไม่มีโรคแทรกซ้อน Uncomplicated VVC โรคแทรกซ้อน Complicated VVC
เป็นเชื้อราที่ช่องคลอดนานๆครั้ง เป็นเชื้อราในช่องคลอดบ่อย
มีการอักเสบไม่มาก มีการอักเสบมาก
เกิดเชื้อ C.albican เกิดจากเชื้ออื่น
ผู้ป่วยไม่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยมีโรค เบาหวาน มะเร็ง ตั้งครรภ์ เอดส์

การวินิจฉัย

•จากประวัติที่มีตกขาวสีขาวและคันอวัยวะเพศ
•นำตกขาวมาละลายด้วยน้ำยา KOH จะพบใยเชื้อรา
•การเพาะเชื้อขึ้นเชื้อรา
•pH<4.5
การรักษา

ไม่มีโรคแทรกซ้อน Uncomplicated VVC

ใช้ยาเหน็บหรือยาทาที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อรา สำหรับท่านที่เป็นครั้งแรกอาจจะไม่สามารถวินิจฉัย แต่หากเป็นครั้ง 2-3 ท่านพอจะทราบอาการและอาจจะหายาทาเองเป็นยาในกลุ่ม miconazole หรือ clotrimazole เป็นยาเหน็บหรือยาทาก็ได้

การดื่มและรับประทาน Cranberry juice และ yogurt จะช่วยป้องกันการติดเชื้อรา เนื่องจากจะเพิ่มความเป็นกรดและเพิ่มเชื้อ lactobacillus ในช่องคลอด ยาที่ใช้ในการรักษาได้แก่

Butoconazole 2% cream 5 gสอดช่องคลอดวันละครั้งเป็นเวลา 3 วัน
หรือ
Butoconazole 2% cream 5 g (Butaconazole1-sustained release),สอดช่องคลอดวันละครั้ง
หรือ
Clotrimazole 1% cream 5 gสอดช่องคลอดวันละครั้งเป็นเวลา 7--14 วัน
หรือ
Clotrimazole 100 mg สอดช่องคลอดวันละครั้งเป็นเวลา 7 วัน
หรือ
Clotrimazole 100 mg vaginal tablet, ใส่ช่องคลอดวันละ 2 เม็ดเป็นเวลา 3 วัน
หรือ
Clotrimazole 500 mg vaginal tablet, 1 เม็ดครั้งเดียว
หรือ
Miconazole 2% cream 5 gใส่ช่องคลอด 7 วัน
หรือ
Miconazole 100 mg vaginal suppository, สอดช่องคลอดวันละครั้ง 7 วัน
หรือ
Miconazole 200 mg vaginal suppository, สอดช่องคลอดวันละครั้ง 3 วัน
หรือ
Nystatin 100,000-unit vaginal tablet, วันละเม็ดเป็นเวลา 14 วัน
หรือ
Tioconazole 6.5% ointment 5 g ใส่ช่องคลอดครั้งเดียว
หรือ
Terconazole 0.4% cream 5 g ใส่ช่องคลอดเป็นเวลา 7 วัน
หรือ
Terconazole 0.8% cream 5 g ใส่ช่องคลอดเป็นเวลา 3 วัน
หรือ
Terconazole 80 mg vaginal suppository,ใส่ช่องคลอดเป็นเวลา 3 วัน

ยารับประทานใช้ Fluconazole 150 mg oral tablet, 1เม็ดครั้งเดียว

สำหรับคู่ที่มีเพศสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องรักษา

การรักษาเชื้อราในช่องคลอดที่มีโรคแทรกซ้อน Complicated VVC

1.เป็นเชื้อราในช่องคลอดบ่อย หมายถึงเป็นเชื้อราในช่องคลอดมากกว่า 4 ครั้งต่อปีผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจำตัว ต้องมีการเพาะเชื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัย เชื้ออาจจะเป็นเชื้อราชนิดอื่นเช่น Candida glabrata การรักษาเริ่มต้นอาจจะต้องรักษาให้นานกว่าปกติ ยาทาอาจจะต้องทานาน 7-14 วัน ส่วนยารับประทานอาจจะต้องรับประทานนาน 3 วัน สำหรับผู้ที่เป็นซ้ำบ่อยๆต้องให้ยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้แก่ ยาเหน็บช่องคลอด clotrimazole (500-mg dose vaginal suppositories อาทิตย์ละครั้ง)หรือยารับประทาน ketoconazole (100-mg dose วันละครั้ง), fluconazole (100--150-mg dose สัปดาห์ละครั้ง), หรือ itraconazole (400-mg doseเดือนละครั้ง หรือ 100-mg dose วันละครั้ง).
2.ในรายที่เป็นรุนแรง มีการอักเสบแคมใหญ่ มีบวม เกาจนเป็นรอยพวกนี้ต้องทายาหรือสอดยานาน 7-14 วัน ส่วนยารับประทานให้รับประทาน 2 ครั้งห่างกัน 3 วัน
3.ช่องคลอดอักเสบที่เกิดจากเชื้อราชนิดอื่น ควรจะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
4.สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหากเป็นยาทาต้องใช้เวลา 7-14 วันและควรจะรับประทานยาร่วมด้วย

โรคปีกมดลูกอักเสบ Pelvic inflamatory disease

โรคปีกมดลูกอักเสบเป็นการติดเชื้อของมดลูก หรือรังไข่ หรือท่อรังไข่ เป็นการติดเชื้อที่รุนแรงหากรักษาอาจจะทำให้เสียชีวิต การติดเชื้อของโรคปีกมดลูกอักเสบอาจจะทำลายท่อรังไข่ รังไข่หรืออวัยวะใกล้เคียง หากไม่รักษาอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนเป็นหมัน หรือเสียชีวิต เชื้อที่เป็นสาเหตุคือ gonorrhea,chlamydia แต่ก็อาจจะเกิดเชื้อที่อยู่ในช่องคลอดของคนปกติ สาเหตุเป็นทั้งการติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือเกิดตามธรรมชาติก็ได้คนเป็นโรคนี้ได้อย่างไร

•โรคนี้เกิดจากเชื้อรุกรานจากช่องคลอดผ่าปากมดลูกไปยังมดลูกและท่อรังไข่และช่องท้อง
•มักจะเป็นในคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปีเนื่องจากปากมดลูกยังไวต่อการติดเชื้อ
•ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับชายหลายคนมีโอกาสเป็นโรคนี้สูง
•ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีแฟนหลายคนก็มีโอกาสเป็นโรคนี้สูง
>>>>>>เกิดจากเพศสัมพันธ์<<<<<

เชื้อที่เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยได้แก่ หนองใน และ chlamydia

>>>>>>ไม่ได้เกิดจากเพศสัมพันธ์<<<<<

•จากการใส่ห่วง
•การสวนล้างช่องคลอด

อาการของผู้ป่วยมีอะไรบ้าง

•ปวดแน่นท้องน้อย
•แสบร้อนในท่อปัสสาวะหรือปัสสาวะแล้วปวด
•คลื่นไส้อาเจียน
•เลือดออกผิดปกติ
•ตกขาวมากขึ้น
•ปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์
•ไข้สูงหนาวสั่น
การวินิจฉัย

•การวินิจฉัยทำได้ยากเนื่องจากบางคนไม่มีอาการแสดง หรือมีแต่น้อย นอกจากนั้นการตรวจร่างกายอาจจะไม่พบความผิดปกติ
•ยังไม่การตรวจพิเศษที่ชี้เฉพาะว่าเป็นโรคนี้
•การตรวจอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเท่านั้น การตรวจที่สำคัญคือการตรวจภายในพบว่าเมื่อโยกปากมดลูกจะทำให้เกิดอาการปวด หรือเมื่อแตะบริเวณเชิงกรานจะทำให้ปวด
•อาจจะนำสารคัดหลั่งไปตรวจหาเชื้อ gonorrhea หรือ chlamydial infection
•เจาะเลือดตรวจเพื่อแสดงว่าเป็นโรคติดเชื้อ
•ตรวจ ultrasound ท้องน้อยเพื่อตรวจว่าท่อรังไข่บวมหรือไม่ มีหนองที่ท้องน้อยหรือไม่
•การส่องกล้อง laparoscope เพื่อให้เห็นบริเวณที่ติดเชื้อ
การรักษา

•เนื่องจากการตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุเป็นไปได้ยากจึงต้องให้ยาปฏิชีวนะครอบคลุมเชื้อที่เป็นสาเหตุอย่างน้อยสองชนิด
•แม้ว่าอาการจะดีขึ้นหลังจากได้ยา ต้องรับประทานยาให้ครบ
•สำหรับคู่ครองต้องตรวจหาเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เมื่อไรต้องนอนโรงพยาบาล

•ไข้สูง คลื่นไส้อาเจียน
•ตั้งครรภ์
•ให้ยารับประทานแล้วอาการไม่ดีขึ้น
•มีหนองที่ท่อรังไข่หรือบริเวณรังไข่
การรักษาด้วยยา

•ยาที่แนะนำให้ใช้รักษาได้แก่ Cefoxitin 2 g ให้ทางเส้นเลือด ทุก 6ชั่วโมงร่วมกับ Doxycycline 100 mg รับประทานหรือฉีดเข้าเส้นเลือดทุก 12 ชั่วโมง
•ยาที่ใช้แทนได้แก่ Clindamycin 900 mgให้ทางเส้นเลือดทุก 8 ชั่วโมงร่วมกับ Gentamicin
•สำหรับผู้ที่มีอาการไม่มากก็สามารถให้ยารับประทาน Ofloxacin 400 mg รับประทานวันละสองครั้งเป็นเวลา 14 วันหรือ Levofloxacin 500 mg รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 14วันร่วมกับ
Metronidazole 500 mg วันละสองครั้งเป็นเวลา 14 วัน
•ยาที่เป็นทางเลือกสำหรับการรักษาผู้ป่วยนอกได้แก่ Ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียวร่วมกับ Doxycycline 100 mg รับประทานวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 14 วัน
•สำหรับคู่ครองที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย 60 วันก่อนเกิดอาการต้องไปตรวจว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
โรคแทรกซ้อน

•ผู้ที่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็นจะลดโรคแทรกซ้อน
•โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือการเป็นหมันโดยพบว่าหนึ่งในห้าของผู้ที่เป็นโรคนี้จะเป็นหมัน
•ตั้งครรภ์นอกมดลูก
•ปวดประจำเดือน
การป้องกันโรคนี้ต้องทำอย่างไร

•หากเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต้องรักษาให้ครบ
•งดมีเพศสัมพันธ์
•มีสามีคนเดียว(สามีก็ควรจะมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาเท่านั้น)
•สวมถุงยางอนามัย
•ตรวจโรคประจำปีเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะผู้ที่อายุน้อยกว่า 25 หรืออายุมากกว่า 25 แต่มีคู่หลายคนหรือต้องการที่จะมีคู่คนใหม่
•สำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น ปวดแสบเมื่อถ่ายปัสสาวะ มีแผล ตกขาว ปวดท้องน้อย ให้ท่านนึกว่าท่านอาจจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ท่านต้องไปพบแพทย์ตรวจ

โรคหนองในแท้ Gonorrhea


เป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoea เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก mucous membrance เช่น

•เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก และเยื่อบุมดลูก •ท่อรังไข่
•ทวารหนัก
•เยื่อบุตา
•คอ
โรคนี้ติดต่ออย่างไร

•โรคนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอดหรือทางทวาร
•การร่วมเพศทางปากจะทำให้เชื้อสามารถติดต่อจากปากไปอวัยวะเพศ หรือจากอวัยวะเพศไปยังปาก
•หากช่องคลอดหรืออวัยวะดังกล่าวปนเปื้อนหนองที่มีเชื้อก็สามารถติดเชื้อนี้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการร่วมเพศ
•หากคุณมีคู่ขามากเท่าใดคุณก็จะมีโอกาสติดเชื้อนี้เพิ่มขึ้น
•การจับมือหรือการนั่งฝาโถส้วมไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
อาการของโรคนี้เป็นอย่างไร

•ผู้ชายมักจะเกิดอาการหลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-5 วันอาการเริ่มจะมีอาการระคายเคืองท่อปัสสาวะ หลังจากนั้นจะมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ แล้วจึงตามด้วยอาการมีหนองสีเหลืองไหลออกจากท่อปัสสาวะ
•ส่วนผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ หากจะมีอาการมักจะเกิดใน 10 วัน
•อาการของโรคจะเหมือนกับการติดเชื้อ chlamydia
•การติดเชื้อที่คออาจจะไม่มีอาการ หรืออาจจะมีอาการเจ็บคอ ไข้
•หากติดเชื้อทีตาจะมีหนองไหลและเคืองตา conjunctivitis

>>>>>>ผู้ชาย<<<<<

•อาจจะไม่มีอาการ
•มีหนองสีเหลืองไหลออกจากอวัยวะเพศ
•ปัสสาวะขัด
•อัณฑะบวม หรือมีการอักเสบ
>>>>>>ผู้หญิง<<<<<

•ผู้หญิงที่ได้รับเชื้อนี้จะมีอาการช้ากว่าผู้ชายโดยเฉลี่ยจะเกิดอาการหลังได้รับเชื้อแล้ว 1-3 สัปดาห์ อาการที่พบไม่มากจนกระทั่งผู้ป่วยไม่ให้ความสนใจ
•จะสงสัยว่าเป็นโรคนี้เมื่อคนที่ร่วมเพศด้วยป่วยเป็นโรคนี้
•ตกขาว หรือเลือดผิดปกติ
•ปัสสาวะขัด

การวินิจฉัย
เราสามารถรู้ว่าเป็นโรคหนองในแท้หรือไม่โดยการตรวจ

•นำหนองหรือปัสสาวะมาตรวจ PCR
•นำหนองมาย้อมหาเชื้อ
•นำหนองไปเพาะเชื้อ
•ข้อสำคัญคือท่านอาจจะต้องตรวจหาโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นร่วมด้วย
การรักษา

เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคหนองในแท้มักจะมีหนองในเทียมร่วมด้วยเสมอดังนั้นจึงต้องรักษาพร้อมกันทั้งสองโรค

•ยาในกลุ่ม Cephalosporin ได้แก่ Cefixime 400 มิลิกรัมรับประทานครั้งเดียว หรือ Ceftriaxone 250 มิลิกรัมฉีดครั้งเดียว
•ยาในกลุ่ม Quinolone ได้แก่ยา Ciprofloxacin 500 mg รับประทานครั้งเดียว หรือ Ofloxacin 400 mg รับประทานครั้งเดียว หรือ Levofloxacin รับประทานครั้งเดียว
•หากแพ้ยาดังกล่าวอาจจะให้ spectinomycin
•การรักษาหนองในแท้มักจะรักษาหนองในเทียมร่วมด้วยโดยการให้ doxycycline 1 เม็ดเช้าเย็นเป็นเวลา 7 วัน
•คนท้องต้องปรึกษาแพทย์
•เนื่องจากเชื้อมีการดื้อยามากขึ้นท่านต้องรับประทานยาให้ครบ และตรวจซ้ำตามที่แพทย์แนะนำและต้องพาคู่ของท่านไปตรวจรักษาด้วย
การป้องกันติดโรคนี้

•การป้องกันที่ดีที่สุดคือการงดมีเพศสัมพันธ์
•มีสามีหรือภรรยาคนเดียว
•สวมถุงยางอนามัยหากมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่แน่ใจว่าจะมีโรคติดต่อหรือไม่
โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ

>>>>>>ผู้ชาย<<<<<

•ต่อมลูกหมากอักเสบ
•อัณฑะอักเสบ
•ท่อปัสสาวะตีบ ทำให้ปัสสาวะไม่ออก
•เป็นหมัน
>>>>>>ผู้หญิง<<<<<

•อุ้งเชิงกรานอักเสบ
•ปวดประจำเดือน
•แท้ง
•กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
•ปากมดลูกอักเสบ
•เด็กที่เกิดในขณะที่แม่เป็นโรคนี้อาจจะมีการอักเสบของตา ข้ออักเสบ เชื้อเข้ากระแสโลหิต

โรคหอบหืด


ถ้าหากท่านหรือญาติเป็นโรคหอบหืด ท่านไม่ได้เป็นหอบหืดคนเดียวเพราะเราพบโรคหอบหืดได้ทั่วโรค โดยมากมักจะเริ่มเป็นตั้งแต่เด็ก โรคหอบหืดเป็นโรคเรื้อรัง อาการแต่ละคนรุนแรงไม่เท่ากัน และการหอบแต่ละครั้งก็มีความแตกต่างกัน บางคนอาจหอบไม่กี่นาทีก็หาย บางคนหอบมากถึงกับเสียชีวิตก็มี
เนื่องไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อไร่จะเป็นหอบหืด และไม่ทราบว่าหอบแต่ละครั้งจะเป็นมากแค่ไหน การศึกษาให้เข้าใจโรครวมทั้งการมีแผนการรักษาที่ดีสามารถทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี รายละเอียดที่จะนำเสนอต่อไปนี้ได้มาจากตำราของต่างประเทศและของประเทศไทยเหมาะสำหรับผู้ป่วย ญาติ และนักเรียนที่จะนำข้อมูลที่ได้ไปใช้สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นโรคหอบหืดอยู่แล้วท่านเริ่มอ่านที่จุดประสงค์ของการรักษา ส่วนท่านที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองเป็นหรือไม่แนะนำให้เริ่มอ่านตั้งแต่เริ่มต้น เนื้อหาข้อมูลจะเป็นแนวทางการดูแลตัวเอง

โรคหอบหืดเป็นโรคของหลอดลมที่มีการอักเสบเรื้อรัง [Chronic inflammatory] เป็นผลให้มี cell ต่างๆ เช่น mast cell,eosinophils,T-lymphocyte,macrophage,neutrophil มาสะสมที่เยื่อบุผนังหลอดลม ทำให้เยื่อบุผนังหลอดลมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้ และสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนปกติ[bronchial hyper-reactivity] ผลจากการอักเสบจึงทำให้เยื่อบุผนังหลอดลมมีการหนาตัว กล้ามเนื้อหลอดลมมีการหดเกร็งตัว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด และหอบเหนื่อย อาการหอบเหนื่อยจะเกิดขึ้นทันทีที่ได้รับสารภูมิแพ้
ขณะที่ท่านเป็นหอบหืด หลอดลมของท่านจะมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
เมื่อท่านหายใจเอาสารภูมิแพ้เข้าไปในปอดจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในปอดดังนี้

1.Acute bronchoconstriction มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม[Airway muscle] หลังจากได้รับสารภูมิแพ้ทำให้ลมผ่านหลอดลมลำบาก
2.Air way edemaเนื่องจากมีการหลั่งของน้ำทำให้ผนังหลอดลมบวมผู้ป่วยจะหอบเพิ่มขึ้น
3.Chronic mucous plug formation มีเสมหะอุดหลอดลมทำให้ลมผ่านหลอดลมลำบาก
4.Air way remodeling มีการหนาตัวของผนังหลอดลมทำให้หลอดลมตีบเรื้อรัง
จากกลไกดังกล่าวทำให้หลอดลมมีการหดเกร็ง ผู้ป่วยจึงเกิดอาการดังต่อไปนี้
•หายใจตื้น หรือหายใจสั้น
•แน่นหน้าอก
•ไอ
•หายใจเสียงดัง
โรคหอบหืดจะมีอาการไม่แน่นอนอาการของผู้ป่วยจะผันแปรได้หลายรูปแบบ

•อาการหอบอาจจะเบาจนกระทั่งหอบหนัก
•อาการแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
•อาการอาจจะกำเริบเป็นครั้งๆ หรืออาการอาจจะหายไปเป็นเวลานาน
•อาการหอบแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน
การวินิจฉัย

จุดประสงค์ของการรักษาหอบหืด
•ไม่มีอาการหอบหืด เช่น ไอ หายใจเสียงดังหวีด แน่นหน้าอก
•ไม่ต้องตื่นกลางคืนเพราะอาการหอบหืด
•ไม่ต้องเข้าห้องฉุกเฉิน หรือนอนโรงพยาบาลเพราะโรคหอบหืด
•สามารถคุมอาการให้สงบลงได้และหอบหืดเรื้อรังน้อยที่สุด
•ป้องกันไม่ให้เกิดอาการกำเริบของโรค
•ยกระดับสมรรถภาพการทำงานของปอดให้ดีทัดเทียมกับคนปกติ
•สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เหมือนคนปกติไม่ต้องหยุดเรียนหรือหยุดงาน
•หลีกเลี่ยงผลแทรกซ้อนจากยารักษาโรคหืด
•ลดอุบัติการณ์การเสียชีวิตจากโรคหอบหืด
•ใช้ยา beta2-agonistเพื่อระงับอาการหอบให้น้อยที่สุด
•ไม่มีภาวะฉุกเฉินของอาการหอบหืด
•สามารถออกกำลังกายได้เหมือนคนปกติ
หลังการรักษาไม่ควรมีอาการหอบหืดอย่าเข้าใจผิดว่าหากมีอาการหอบ พอพ่นยาแล้วหายหอบคืออาการดีขึ้น การรักษาที่ดีต้องไม่หอบ

โรคภูมิแพ้คืออะไร

ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ที่จะจดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายเรา เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสโดยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค โรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ allergen จากสิ่งแวดล้อมซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ ปฏิกิริยานี้เริ่มเมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการสร้างภูมิที่เรียกว่า IgE antibody ตัว antibody นี้จะกระตุ้น Mast cell ให้มีการหลั่งสาร Histamin ขึ้นที่เนื้อเยื่อต่าง เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ อาการแสดงจะเกิดตามอวัยวะต่างๆ เช่นลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูก แน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืด บางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ Anaphylaxis shockคนเราเป็นภูมิแพ้ได้อย่างไร
เนื่องจากเกิดโรคภูมิแพ้เป็นจำนวนมากจึงได้มีการวิจัยหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้

•กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่นพ่อแม่ พี่น้อง ก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย เด็กชายเป็นมากกว่าเด็กหญิงหากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เด็กจะเป็นภูมิแพ้ได้ร้อยละ 30 แต่หากทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้เด็กจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 50-60
•สิ่งแวดล้อมของเด็กในขวบปีแรกสำคัญมาก การสัมผัสควันบุหรี่ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ สะเก็ดรังแคสัตว์ การใช้ยาปฏิชีวนะ การรับประทานอาหารสำเร็จรูป เหล่านี้จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้•การติดเชื้อไวรัสในวัยเด็ก การที่มีเชื้อ lactobacillus ในลำไส้หรือการอาศัยใกล้ฟาร์มสัตว์จะลดอุบัติการณ์ของภูมิแพ้การหลีกเลี่ยงหรือนำสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ออกจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเป็นการรักษาที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งจะทำให้ลดอาการของโรคภูมิแพ้และลดปริมาณการใช้ยา
ทำไมคนในเมืองถึงเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น
พบว่าปัจจัยที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง

•คนในเมืองอยู่บ้านมาก ติดเครื่องปรับอากาศ ไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
•เด็กกินนมแม่น้อยลง คนรับประธานอาหารจานด่วนมาก ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน และได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้ามามาก เช่น สี สารกันบูด
•คนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้านเพิ่ม
•การตกแต่งบ้าน ติดตั้งพรมและติดเครื่องปรับอากาศทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี เชื้อไรฝุ่นเจริญได้ดี
•มลภาวะจากอุตสาหกรรม และการจราจร
•การสูบบุหรี่
สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในบ้าน
สารก่อโรคภูมิแพ้ในบ้านจะพบได้ตลอดปีและเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรค ภูมิแพ้คัดจมูก โรคหอบหืด ผื่นแพ้ eczema สารก่อภูมิแพ้ในบ้านที่สำคัญได้แก่

•ไรฝุ่นพบมากบนที่นอน โซฟา
•สะเก็ดรังแคสัตว์ น้ำลาย และเหงื่อของสัตว์เลี้ยง•ขนนก ของเสียแมลงสาบ ราวิธีป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน
•เปิดหน้าต่างให้เกิดการถ่ายเทของอากาศ โดยเฉพาะห้องครัว ห้องน้ำโดยเปิดหน้าต่างอย่างน้อยครั้งละ 1 ชั่วโมงเปิดวันละสองครั้งหากแพ้เกสรควรปิดหน้าต่างโดยเฉพาะช่วงที่มีเกสรดอกไม้มาก•ไม่ควรตากผ้าในห้องนอนและห้องนั่งแล่น•ถ้าห้องมีความชื้นมากให้เปิดให้อาการถ่ายเทให้มากการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้
•ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนไว้ในบ้านโดยเฉพาะในห้องนอน
•ไม่ควรตกแต่งห้องนอนด้วยพรม หรือมีตุกตา มั่นเช็ดฝุ่นบ่อยๆ
•ห้องนอนไม่ควรจะมีชั้น หรือหนังสือ
•เครื่องนอนควรจะซักและต้มสัปดาห์ละครั้ง
•งดบุหรี่ หรือทาสีในบ้าน
•หมั่นทำความสะอาด และดูดฝุ่นบ้านและม่านกันแดด
•กำจัดเศษอาหารให้มิดชิดเพื่อป้องกันแมลงสาบ

โรคไมเกรน

โรคไมเกรน คือ โรคที่เกิดจากการบีบตัว และคลายตัว ของหลอดเลือดแดงในสมอง มากกว่าปรกติ ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว พร้อมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ในบางรายอาจมีอาการตาพร่ามัวหรือเห็นแสงระยิบระยับร่วมด้วย

โรคไมเกรนนี้ รู้จักกันมานานตั้งแต่สมัย GALEN คือ ราวสองพันปีมาแล้ว คำว่าไมเกรน (Migraine) นี้มาจากคำสองคำคือ HEMI + CRANIUM คำ HEMI แปลว่า ครึ่งซีก ส่วน RANIUM แปลว่า ศีรษะหรือหัว เมื่อคำสองคำมาผสมกันเป็น HEMICRANIUM แต่ยาวเกินไป จึงตัด "HE" ส่วนหน้าออกและ "IUM" ส่วนหลังทิ้ง จึงเหลือ "MICRAN" ในภาษาลาติน

ภาษาอังกฤษมาแปลงใหม่เป็น MIGRANE ในภาษาไทยมีคำแปลว่า "โรคตะกัง" แต่ไม่เป็นที่นิยมใช้กันแต่อย่างใด, จึงมักเรียกทับศัพท์กันว่า "โรคไมเกรน (MIGRAINE)"

เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า อาการปวดหัวหรือปวดศีรษะนั้นเป็นอาการที่พบบ่อยในประชาชนทั่วๆ ไป จนเรียกได้ว่าไม่มีใครที่จะไม่เคยปวดหัวเลย อาการปวดหัวนั้นอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆมากมาย เช่น โรคที่พบบ่อยได้แก่ ตัวร้อนหรือเป็นไข้ เป็นหวัด เจ็บคอ ปวดฟัน ตาแดง หูอักเสบ โพรงจมูกอักเสบ ตลอดจนโรคที่พบน้อยแต่มีอันตราย เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื้องอกในสมองและเลือดออกในสมอง เป็นต้น

ในทางการแพทย์แบ่งอาการปวดศีรษะออกเป็น ๒ ชนิดคือ :

๑.ปวดศีรษะชนิดเฉียบพลัน, ซึ่งมักจะมีสาเหตุจากการอักเสบ หรือติดเชื้อในบริเวณโพรงจมูก คอ ปาก หูและตาดังกล่าวแล้ว

๒.ปวดศีรษะเรื้อรัง ซึ่งมักมีสาเหตุใหญ่ๆ เพียง ๒ ชนิดคือ

ก.โรคไมเกรน

ข.โรคปวดศีรษะจากความเครียด

ส่วนภาวะเนื้องอกในสมอง หรือการตกเลือดในสมองนั้น พบได้น้อยมากไม่ถึง ๐.๐๑ % ของผู้ที่มีอาการปวดหัวทั้งหมด ดังนั้น ถ้าใครปวดหัวและกังวลว่าตัวเองจะมีเนื้องอกในสมอง หรือมีเลือดออกในสมองนั้นมีโอกาสเป็นจริงน้อยมาก แต่มักจะปวดศีษะจากความเครียด หรือโรคไมเกรน มากกว่า

มีคนถามว่า โรคไมเกรน กับ โรคปวดศีรษะจากความเครียดนั้น อย่างไหนจะพบมากกว่ากัน

คำตอบคือ โรคไมเกรนจะพบราว ๗% ของประชากร, ส่วนโรคปวดศีรษะจากความเครียดนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะสิ่งแวดล้อม เศรษฐฐานะ และสภาพของสังคม ในเมืองหลวงจะพบผู้ป่วยกลุ่มนี้มากกว่าในชนบท ปัจจุบันนี้คงยอมรับว่า เกือบทุกคนมีความเครียด แต่ใครจะปวดหัวหรือไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบต่างๆ ของการแสดงออกของอาการเครียด เช่น ปวดหัว ปวดท้อง นอนไม่หลับ หงุดหงิด เบื่ออาหาร ท้องผูก ท้องอืดเฟ้อ ตลอดจนท้อแท้เบื่อหน่ายได้

โรคไมเกรน ความจริงไม่น่าจะจัดว่าเป็นโรคแต่อย่างใด, เพราะเป็นภาวะที่หลอดเลือดแดงในสมองบีบตัวและคลายตัวมากกว่าปรกติ ในคนปกติหลอดเลือดแดงเหล่านี้ซึ่งมีอยู่มากมายในสมอง ก็จะมีบีบตัวและคลายตัวอยู่เป็นประจำแต่ไม่มากจึงไม่ปวดหัว ในผู้ป่วยไมเกรนจะไม่พบพยาธิสภาพใดๆในหลอดเลือดแดงของสมอง จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอัมพาตหรือพิการแต่อย่างใด

อาการของโรคไมเกรน ประกอบด้วยลักษณะต่างๆ ดังนี้ :

๑.ปวดศีรษะครึ่งซีก อาจเป็นบริเวณขมับหรือท้ายทอย แต่บางครั้งก็อาจเป็นสองข้างพร้อมกัน หรือเป็นสลับข้างกันได้

๒.ลักษณะการปวดศีรษะส่วนมากจะปวดตุ๊บๆ นานครั้งหนึ่งๆเกิน ๒๐ นาที (ยกเว้นจะได้รับประทานยา) แต่บางครั้งถ้าเป็นรุนแรงอาจปวดนานเป็นวันๆ หรือสัปดาห์ก็ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีปวดตื้อๆสลับกับปวดตุ๊บๆในสมองก็ได้

๓.อาการปวดศีรษะมักเป็นรุนแรง และส่วนมากจะมีคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วยเสมอ โดยอาจเป็นขณะปวดศีรษะ ก่อนหรือหลังปวดศีรษะก็ได้ บางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมากจนรับประทานอะไรไม่ได้

๔.อาการนำจะเป็นอาการทางสายตา โดยจะมีอาการนำมาก่อนปวดศีรษะราว ๑๐-๒๐ นาที เช่น เห็นแสงเป็นเส้นๆ ระยิบระยับ แสงจ้าสะท้อนหรือเห็นภาพบิดเบี้ยวนำหน้ามาก่อน

โรคไมเกรนพบบ่อยในผู้หญิงวัยสาว ระหว่าง ๒๐-๔๐ ปี ในเด็ก และผู้สูงอายุพบน้อย ผู้ชายพบว่าเป็นไมเกรนน้อยกว่าผู้หญิง ๓-๔ เท่าตัว แต่ถ้าผู้ชายเป็นมักจะมีอาการรุนแรงกว่า โดยมีอาการปวดตาข้างใดข้างหนึ่ง น้ำตาไหล ตาแดง ปวดรุนแรงมากติดต่อกันเป็นเวลา ๖-๘ สัปดาห์ และอาจเป็นซ้ำบ่อยๆทุก ๖-๑๒ เดือน โรคไมเกรนมักพบบ่อยกับสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัวที่เป็นผู้หญิง เช่น แม่ น้องสาว น้า ป้า เป็นต้น
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตัวกระตุ้นหรือทำให้เกิดอาการของโรคไมเกรนมากขึ้นได้แก่

๑.ภาวะเครียด
๒.การอดนอน
๓.การขาดการพักผ่อน หรือทำงานมากเกินไป
๔.ขณะมีระดู หรือรับประทานยาคุมกำเนิด
๕.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์
๖.อาหารบางชนิด เช่น กล้วยหอม เนยแข็ง และช็อกโกแลต

ดังนั้น ผู้ป่วยโรคไมเกรนจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงภาวะต่างๆ เหล่านี้ ผู้ป่วยทุกคนต้องสังเกตตัวเองว่า อะไรเป็นตัวกระตุ้นการเกิดโรคไมเกรนในตนเอง เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงและแก้ไขได้ตรงจุด

เป็นที่ยอมรับกันว่า โรคไมเกรนก่อให้เกิดภาวะปวดศีรษะเรื้อรังนานเป็นปีๆ บางรายอาจนานเป็นสิบๆปี จึงมักทำให้ผู้ป่วยเกิดความกังวลว่า ทำไมตัวเองจึงไม่ยอมหายจากภาวะปวดศีรษะนั้น และวิตกว่าจะมีความผิดปรกติในสมองต่างๆ เช่น เนื้องอกหรือเลือดคั่งในสมอง หรือเกรงว่าจะเกิดอัมพาตหรือพิการตามมาภายหลัง

ในกรณีนี้จะทำให้อาการปวดศีรษะเลวลง เพราะจะเกิดอาการปวดศีรษะจากภาวะเครียดเพิ่มขึ้นมาทับถมอีก การปวดศีรษะจากภาวะเครียดนั้นพูดโดยย่อ จะปวดแบบตื้อๆ หนักศีรษะทั่วทั้งศีรษะบางรายจะบอกว่า ปวดเหมือนมีอะไรมาบีบรัดโดยรอบหัว อาการนี้จะเป็นมากตอนบ่ายๆ หรือสายๆ ช่วงเช้าไม่ค่อยปวด หลังนอนพักอาการจะดีขึ้น ทั้งนี้เพราะเกิดจากการบีบเกร็งตัวของกล้ามเนื้อรอบศีรษะและบริเวณคอ

โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคไมเกรนจะไม่มีอันตรายใดๆ ที่จะก่อให้เกิดการพิการหรือทุพพลภาพตามมาแต่อย่างใด โดยปรกติอาการปวดศีรษะชนิดไมเกรนนี้จะลดความรุนแรงลงเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเลยวัยหมดระดูไปแล้ว จะพบผู้ป่วยไมเกรนน้อยมาก

โรคไมเกรนเป็นโรคที่วินิจฉัยได้ โดยการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยละเอียด ไม่มีวิธีการวินิจฉัยทางอื่นใด ดังนั้น การเจาะเลือด เอกซเรย์ หรือการตรวจคอมพิวเตอร์สมองจึงไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด กลับจะเจ็บตัวและอาจเป็นอันตรายหรือเสียเงินทองโดยไม่จำเป็น
การปวดศีรษะจากโรคไมเกรน มักรักษาไม่หายด้วยยาแก้ปวดพาราเซตตามอลธรรมดา ยาที่ได้ผลดีคือยาแก้ปวดแอสไพริน ขนาด ๒ เม็ด ในขณะปวด แต่ข้อระวังห้ามรับประทานแอสไพรินในขณะท้องว่าง และผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหารห้ามรับประทานแอสไพรินเด็ดขาด เพราะอาจเกิดเลือดออกในกระเพาะได้มากๆ และอาจทำให้ถึงแก่กรรมได้ ในผู้ป่วยที่ไม่แน่ใจว่า จะมีโรคกระเพาะหรือไม่ ให้รับประทานยาเคลือบกระเพาะอาหารหรือนมร่วมด้วย ก็จะป้องกันการระคายเคืองของแอสไพรินต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารได้
ในผู้ป่วยโรคไมเกรนที่นานๆ เป็นครั้ง เช่นปีละ ๒-๓ หนไม่จำเป็นต้องกินยาป้องกันแต่อย่างใด แต่ถ้าผู้ป่วยโรคไมเกรนที่เกิดอาการปวดศีรษะบ่อยๆ เช่นเกือบทุกสัปดาห์ หรือทุกวัน จำเป็นต้องให้การป้องกันโดยการหลีก เลี่ยงปัจจัยส่งเสริมให้เกิดดังกล่าวแล้ว ในกรณีที่ไม่มีปัจจัยส่งเสริมดังกล่าวอาจจำเป็นต้องให้ยาป้องกัน ซึ่งแบ่งได้หลายชนิด เช่น

ก. ERGOT ALKALOIDS เป็นยาป้องกันมิให้หลอดเลือดในสมองขยายตัว
ข. BETA BLOCKER
ค. CALCIUM CHANNEL BLOCKER
ง. ANTIDEPRESSANT เป็นต้น
จ. SEROTONIN ANTAGONIST เป็นต้น

ยาในกลุ่มดังกล่าวเป็นยาอันตราย และมีผลข้างเคียงทุกชนิด จำเป็นต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งให้และรับประทานตามกำหนดในช่วงเวลาจำกัด การซื้อใช้เองอาจเกิดผลร้ายได้

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กาแฟ


หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ
ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline

caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบ ดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ากาแฟจะทำให้มีการหลั่งสาร cortisone และ adrenaline ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย
ปริมาณcaffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ


นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด

ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกาย ไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

การดื่มกาแฟจะเพิ่มความสามารถในการออกกำลังกายหรือไม่

จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น แต่การศึกษาดังกล่าวศึกษาในผู้ชาย คำแนะนำอาจจะดื่มกาแฟสักแก้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย หากดื่มมากกาแฟจะออกฤทธิ์เสมือนยาขับปัสสาวะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ปริมาณกาแฟที่ขับออกมาทางปัสสาวะหากมากกว่า 12 micrograms/mlจะถูกห้าม(เท่ากับการดื่มกาแฟ 4 แก้ว)

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ดื่มกาแฟแค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากไป

การดื่มกาแฟ 2-4 แก้วอาจจะไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ แต่หากดื่มมากไปอาจจะมีผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้ หากดื่มกาแฟมากเกินไป 4-7แก้วอาจจะเกิดผลเสียอะไรบ้าง

•นอนไม่หลับ
•หงุดหงิดง่าย
•สับสน
•อารมณ์แปรปวน
•คลื่นไส้อาเจียน และอาการทางเดินอาหาร
•ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็ว
•กล้ามเนื้อกระตุก
•ปวดสีรษะ
•วิตกกังวล
หากท่านเกิดอาการดังกล่าวแสดงว่าท่านดื่มกาแฟมากเกินไป

สำหรับท่านที่ดื่มกาแฟประจำเมื่อหยุดดื่มไป 12-24 ชม ก็จะเกิดอาการของการหยุดการแฟ อาการจะคงอยู่ประมาณ 24 ชม อาการดังกล่าวจะหายไป

ยาที่เรารับประทานจะมีผลต่อกาแฟหรือไม่

ยาหรือสมุรไพรบางชนิดอาจจะส่งผลต่อระดับกาแฟอินในร่างกาย

•ผู้ที่รับประทานยา Ciprofloxacin (Cipro)หรือ norfloxacin อาจจะทำให้ระดับกาแฟในเลือดสูงขึ้นทำให้เกิดอาการข้างเคียง
•ผู้ที่ทานยาขยายหลอดลม เช่น Theophylline จะออกฤทธิ์เหมือนกาแฟ อาจจะทำให้เกิดอาการใจสั่น
•สำหรับผู้ที่รับประทานสมุนไพร Ephedra (ma-huang) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดปกติหรือชัก หากรับร่วมกับกาแฟจะเพิ่มความเสี่ยงดังกล่าว
ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

•โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น

•กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

•การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่

•กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล

•การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี

•มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกันสุขภาพสตรี

•กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด

•การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น
•สมาคมสูติของอเมริกาแนะนำสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ก็สามารถดื่มได้ไม่เกินวันละหนึ่งแก้วโดยไม่ทำให้คลอดก่อนกำหนด หรือเกิดอาการแท้ง แต่หากดื่มมากกว่านี้มีรายงานว่าอาจจะเกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์
กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

•ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง

•มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

•มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย

•มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

กาแฟกับโรคหัวใจ

•เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ

กาแฟกับความดันโลหิตสูง

•การดื่มกาแฟ 2-3แก้วจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มได้ 3-14/4-13 แต่ยังไม่ทราบกลไกที่ทำให้ความโลหิตสูงขึ้น สำหรับผู้ที่ดื่มเป็นประจำความดันโลหิตอาจจะไม่สูง คำแนะนำ สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรจะลดปริมาณกาแฟลงไม่เกินสองแก้วต่อวัน และควรจะงดดื่มในกรณีที่ความดันจะสูง เช่น การออกกำลังกาย การทำงานหนัก ท่านอาจจะทดสอบว่ากาแฟมีผลต่อความดันหรือไม่โดยวัดความดันโหอต 30 นาทีหลังจากดื่มกาแฟ หากสูงขึ้นควรจะลดหรือเลิก
กาแฟกับโรคเบาหวาน

•จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

โรคหูดที่อวัยวะเพศ ( น่ากลัวมากๆ)

โรคหูดที่อวัยวะเพศหรือที่เรียกว่า Condyloma acuminatum เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า human papillomavirus (HPV) ซึ่งมีมากกว่าร้อยชนิด โรคหูดส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เกิดจากเชื้อ HPV type 6,11ซึ่งไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ชนิดที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งได้แก่ชนิด types 33, 35, 39, 40, 43, 45, 51-56, 58 ชนิดชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งได้มากได้แก่ชนิด (types 16, 18)ตำแหน่งที่พบโรคหูด

โรคหูดที่อวัยวะเพศตำแหน่งที่พบบ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย penis, แคมใหญ่ vulva, ช่องคลอด vagina, ปากมดลูก cervix, บริเวณหัวเหน่า perineum, และบริเวณรอบๆทวารหนัก perianal ตำแหน่งอื่นที่อาจจะพบได้แก่ คอ หลอดลม บางแห่งติดเชื้อแต่ไม่มีอาการซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง

ลักษณะของหูดเป็นอย่างไร

หูดจะมีลักษณะแบน สีออกชมภูหรือดำ มักจะไม่เป็นติ่ง มักจะเกิดได้หลายๆแห่ง


โรคนี้พบบ่อยแค่ไหน

•เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุด มักจะพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่ม
•ผู้ที่มีโรคทำให้ภูมิอ่อนแอ เช่นโรคเบาหวาน ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีขนาดของหูดใหญ่กว่าปกติ กลับเป็นซ้ำหรือมีโรคแทรกว้อน
•โรคนี้อาจจะกำเริบในขณะตั้งครรภ์ทำให้หูดมีขนาดใหญ่และขวางการคลอดตามธรรมชาติ
อาการของโรคเป็นอย่างไร

•ผู้ที่สูบบุหรี่ ทานยาคุมกำเนิด มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้
•ประมาณร้อยละ60ของผู้ป่วยจะเกิดโรคหูดหลังจากสัมผัสผู้ป่วยไปแล้วประมาณสามเดือน
•อาการทีสำคัญของผู้ป่วยโรคหูดคือ มีก้อนไม่เจ็บปวด อาจจะมีอาการคัน หรือมีตกขาว
•สำหรับผู้ที่มีประวัติมีเพศสัมพันธ์ทางทวาร หรือทางปากอาจจะมีก้อนบริเวณดังกล่าว
•ผู้หญิงอาจจะมาด้วยเรื่องมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ส่วนผู้ชายอาจจะมีปัญหาเรื่องปัสสาวะไม่ออก
แพทย์จะตรวจหาหูดได้ที่ไหนบ้าง

สำหรับผู้ชาย

•พบก้อนได้บริเวณอวัยวะเพศ
•ส่วนหัวของอวัยวะเพศ
•หรือเยื่อบุในท่องปัสสาวะ
•สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักอาจจะก้อนบริเวณรอบทวารหนัก
สำหรับผู้หญิง

•ผิวหนังแถวอวัยวะเพศ
•แคมใหญ่ แคมเล็ก
•ช่องคลอด
•ทวานหนัก
แพทย์จะต้องตรวจพิเศษอะไรบ้าง

การที่ท่านเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แพทย์จะต้องตรวจหาว่าท่านติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างอื่นอีกหรือไม่ โดยจะตรวจ

•หนองในแท้ หนองในเทียม
•โรคเอดส์
•โรคซิฟิลิส
•ตรวจภายในทำ PAP Smear
•ตรวจหารการติดเชื้อโดยที่ไม่มีอาการ โดยการใช้ acetic acid ปิดไว้ห้านาที แล้วใช้แว่นขยายส่อง ซึ่งอาจจะพบรอยโรค
•การตัดชิ้นเนื้อตรวจ
การรักษา

หลักการรักษาเมื่อพบหูดจะเอาหูดออก หากไม่รักษา ก้อนอาจจะมีขนาดเท่าเดิม หรือหายไปเอง หรืออาจจะมีขนาดใหญ่ขึ้น การเอาก้อนหูดออกไม่ได้กำจัดการติดเชื้อ HPV ออกจากร่างกาย การเอาหูดออกจะลดการติดต่อลง

•การจี้ด้วยความเย็น Cryotherapy
◦ใช้ความเย็น(nitrogen เหลว) จี้บริเวณเนื้องอก 10-15 วินาที และสามารถทำซ้ำได้ ระวังอย่าให้ถูกผิวหนังบริเวณที่ดี
◦การใช้ความเย็นจี้เป็นวิธีการรักษาสำหรับหูดโดยเฉพาะที่รอบทวารหนัก
◦การตอบสนองต่อการรักาาดี และมีแทรกซ้อนน้อย
◦โรคแทรกซ้อนที่สำคัญได้แก่ เกิดผล ปวดขณะทำ สีผิวซีดลง
◦สามารถทำในคนท้องได้
•การใช้ไฟฟ้าจี้ ไม่แนะนำเพราะควันที่เกิดอาจจะติดต่อได้
•การขูดเอาเนื้องอกออก Curettage
•การผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อออก Surgical excision
◦การผ่าตัดจะให้ผลดี และมีโรคแทรกซ้อนต่ำ และอัตราการเป็นซ้ำต่ำ
◦อัตราการหาย 63-91%.
•การใช้ Laser Carbon dioxide laser treatment
◦ใช้ Laserในกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่ หรือเป็นซ้ำ
◦ข้อระวังควันที่เกิดอาจจะติดต่อได้
◦ต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ทา
•การใช้ยาทาภายนอกได้แก่
◦Podophyllin เป็นยาที่ใช้ทาภายนอกที่ตัวหูด ให้ทาสัปดาห์ละครั้ง ข้อระวังของการใช้ยานเพื่อป้องกันมิให้ยาดูดซึมเข้าสู่ร่างกายี้ได้แก่
การใช้ยาแต่ละครั้งไม่ควรเกิน <0.5 mL
ขนาดของหูดไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไปโดยไม่เกิน 10 cm2
บริเวณที่ทาไม่ควรมีแผล เพราะยาอาจจะถูกดูดซึม
หลังทาปล่อยให้แห้ง และล้างออกหลังจากทาไปแล้ว 1-4 ชม
◦TCA (trichloracetic acid)เป็นยาที่ใช้ทาภายนอก ห้ามถูกผิวหนังที่ดี
•การให้ผู้ป่วยทายาเอง
◦Podofilox 0.5% solution or gel. ให้ทาที่ตัวหูดวันละสองครั้งเป็นเวลาสามวัน และหยุดทาสี่วันให้ทำซ้ำได้สี่ครั้ง ยานี้ไม่ควรใช้ในคนท้อง และไม่ควรใช้ยาปริมาณมากเกินไป
◦Imiquimod 5% cream ให้ทายานี้ก่อนนอน อาติตย์ละ 3 วันเป็นเวลา 16 สัปดาห์
การป้องกันการติดเชื้อโรคหูด

หญิงหรือชายวัยเจริญพันธุ์สามารถป้องกันการติดเชื้อโรคหูดโดย

•งดการมีเพศสัมพันธุ์เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด แต่น้อยคนที่ทำได้
•ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ เพราะนั้นย่อมหมายถึงคุณก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
•ไม่ควรจะเปลี่ยนคู่นอน
•หากผู้ที่มีหูดควรจัดการรักษาให้หายเรียบร้อยก่อนจึงจะมีเพศสัมพันธุ์
•ให้สวมถุงยางทุกครั้งที่มีเพศสัมพันะธุ์ที่ไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัย
•การฉีดวัคซีนป้องกัน
โรคที่เกี่ยวข้อง

•วัคซีนป้องกันเชื้อ HPV
•การติดเชื้อ HPV
•มะเร็งปากมดลูก
•การตรวจภายใน
•การติดเชื้อหูดในผู้ชาย
•หูดที่ผิวหนัง

โรคภูมิแพ้ Allergy

โรคทางเดินหายใจเป็นโรคที่พบมากของประเทศไทยโดยเฉพาะประชาชนในเขตเมืองเนื่องจากมลภาวะและภูมิแพ้ บทความนี้จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิแพ้ในหลายแง่มุมที่คุณควรจะรู้

โรคภูมิแพ้คืออะไร
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ที่จะจดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายเรา เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสโดยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค โรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ allergen จากสิ่งแวดล้อมซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ ปฏิกิริยานี้เริ่มเมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการสร้างภูมิที่เรียกว่า IgE antibody ตัว antibody นี้จะกระตุ้น Mast cell ให้มีการหลั่งสาร Histamin ขึ้นที่เนื้อเยื่อต่าง เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ อาการแสดงจะเกิดตามอวัยวะต่างๆ เช่นลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูก แน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืด บางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ Anaphylaxis shock
คนเราเป็นภูมิแพ้ได้อย่างไร
เนื่องจากเกิดโรคภูมิแพ้เป็นจำนวนมากจึงได้มีการวิจัยหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้

•กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่นพ่อแม่ พี่น้อง ก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย เด็กชายเป็นมากกว่าเด็กหญิงหากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เด็กจะเป็นภูมิแพ้ได้ร้อยละ 30 แต่หากทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้เด็กจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 50-60
•สิ่งแวดล้อมของเด็กในขวบปีแรกสำคัญมาก การสัมผัสควันบุหรี่ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ สะเก็ดรังแคสัตว์ การใช้ยาปฏิชีวนะ การรับประทานอาหารสำเร็จรูป เหล่านี้จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้•การติดเชื้อไวรัสในวัยเด็ก การที่มีเชื้อ lactobacillus ในลำไส้หรือการอาศัยใกล้ฟาร์มสัตว์จะลดอุบัติการณ์ของภูมิแพ้การหลีกเลี่ยงหรือนำสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ออกจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเป็นการรักษาที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งจะทำให้ลดอาการของโรคภูมิแพ้และลดปริมาณการใช้ยา
ทำไมคนในเมืองถึงเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น
พบว่าปัจจัยที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง

•คนในเมืองอยู่บ้านมาก ติดเครื่องปรับอากาศ ไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
•เด็กกินนมแม่น้อยลง คนรับประธานอาหารจานด่วนมาก ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน และได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้ามามาก เช่น สี สารกันบูด
•คนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้านเพิ่ม
•การตกแต่งบ้าน ติดตั้งพรมและติดเครื่องปรับอากาศทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี เชื้อไรฝุ่นเจริญได้ดี
•มลภาวะจากอุตสาหกรรม และการจราจร
•การสูบบุหรี่
สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในบ้าน
สารก่อโรคภูมิแพ้ในบ้านจะพบได้ตลอดปีและเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรค ภูมิแพ้คัดจมูก โรคหอบหืด ผื่นแพ้ eczema สารก่อภูมิแพ้ในบ้านที่สำคัญได้แก่

•ไรฝุ่นพบมากบนที่นอน โซฟา
•สะเก็ดรังแคสัตว์ น้ำลาย และเหงื่อของสัตว์เลี้ยง•ขนนก ของเสียแมลงสาบ ราวิธีป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน
•เปิดหน้าต่างให้เกิดการถ่ายเทของอากาศ โดยเฉพาะห้องครัว ห้องน้ำโดยเปิดหน้าต่างอย่างน้อยครั้งละ 1 ชั่วโมงเปิดวันละสองครั้งหากแพ้เกสรควรปิดหน้าต่างโดยเฉพาะช่วงที่มีเกสรดอกไม้มาก•ไม่ควรตากผ้าในห้องนอนและห้องนั่งแล่น•ถ้าห้องมีความชื้นมากให้เปิดให้อาการถ่ายเทให้มากการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้
•ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนไว้ในบ้านโดยเฉพาะในห้องนอน
•ไม่ควรตกแต่งห้องนอนด้วยพรม หรือมีตุกตา มั่นเช็ดฝุ่นบ่อยๆ
•ห้องนอนไม่ควรจะมีชั้น หรือหนังสือ
•เครื่องนอนควรจะซักและต้มสัปดาห์ละครั้ง
•งดบุหรี่ หรือทาสีในบ้าน
•หมั่นทำความสะอาด และดูดฝุ่นบ้านและม่านกันแดด
•กำจัดเศษอาหารให้มิดชิดเพื่อป้องกันแมลงสาบ

นิ่วในไต Renal calculi


นิ่วในไตจะพบในประเทศอุตสาหกรรมมากกว่าประเทศเกษตรกรรม นิ่วในไตมักเกิดจากการที่ปัสสาวะเข้มข้นมากและตกตะกอนเป็นนิ่วมักจะเกิดที่ไตบริเวณกรวยไต และเมื่อนิ่วหลุดลงมาท่อไตก็จะเกิดอาการปวดท้องทันทีเหมือนคนปวดท้องคลอดลูก

•พบว่าเมื่อเป็นนิ่วโอกาสที่จะเกิดเป็นซ้ำประมาณครึ่งหนึ่งในเวลา 10 ปี
•ผู้ป่วยร้อยละ 80 นิ่วสามารถออกได้เอง
ทั่วไป

ระบบทางเดินปัสสาวะของคนประกอบไปด้วย ไต(kidney) ท่อไตสองข้าง (ureter) กระเพาะปัสสาวะ (bladder) ไต่จะมีลักษณะเหมือนรูปถั่วอยู่ด้านหลังใต้ชายโครง ไตมีหน้าที่ขับน้ำส่วนเกิน และของเสียออกจากเลือด ไตยังรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ และยังสร้างฮอร์โมนที่สร้างเม็ดเลือดแดง และทำให้กระดูกแข็งแรง
ท่อไตจะนำปัสสาวะจากไตไหลลงสู่กระเพาะปัสสาวะ

นิ่วในไตคืออะไร

นิ่วในไตเกิดจากการตกผลึกของของเสียที่ขับออกทางปัสสาวะ ปกติในปัสสาวะจะสารเคมีบางชนิดที่ป้องกันการตกตะกอน แต่เนื่องจากมีปัจจัยบางอย่างทำให้กลไกนี้ไม่ทำงานจึงเกิดการตกตะกอน หากตะกอนมีก้อนเล็กก็จะถูกขับออกจากไตทางปัสสาวะ แต่หากไม่ถูกขับออกและหากตะกอนมีขนาดใหญ่ขึ้นจนอุดทางเดินของปัสสาวะก็จะเกิดอาการของนิ่ว

ส่วนประกอบที่สำคัญของนิ่วได้แก่แคลเซี่ยมซึ่งอาจจะรวมกับ oxalate หรือ phosphate สารต่างๆเหล่านี้ได้จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป นอกจากนั้นยังมีนิ่วที่เกิดจากการติดเชื้อเรียกว่า struvite และนิ่วที่เกิดจากกรดยูริก

ผลเสียของนิ่วในไต

•ปวดท้องเมื่อนิ่วอุดท่อไต
•มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
•ถ้ามีการอุดนานจะทำให้เกิดการเสื่อมของไต

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ถุงลมปอดโป่งพอง ถุงลมพอง ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง


ชื่อภาษาอังกฤษ
Emphysema, Chronic obstructive pulmonary disease (COPD)

♦ สาเหตุ
ผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติสูบบุหรี่จัด (มากกว่าวันละ 20 มวน) นาน 10-20 ปีขึ้นไป
สารพิษในบุหรี่จะค่อยๆ บ่อนทำลายเยื่อบุหลอดลมและ ถุงลมในปอด (ถุงลมปอด) ทีละน้อย ใช้เวลานานนับสิบๆ ปี จนในที่สุดถุงลมปอดพิการ คือสูญเสียหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนอากาศ (นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นอากาศเสียออกจากร่างกาย และนำออกซิเจนซึ่งเป็นอากาศดีเข้าสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบทางเดินหายใจ) เกิดอาการหอบเหนื่อยง่าย และเกิดโรคติดเชื้อของปอดซ้ำซาก

นอกจากบุหรี่ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคนี้แล้ว ผู้ป่วยส่วนน้อยยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น มลพิษในอากาศ (ฝุ่น สารเคมี) ควันจากฟืนหุงต้มหรือก่อไฟภายในบ้านที่ขาดการถ่ายเทอากาศ (พบในพื้นที่เขตเขาทางภาคเหนือ) เป็นต้น

♦ อาการ
ผู้สูบบุหรี่จัดมานานหลายปี ระยะแรกจะมีอาการของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง กล่าวคือจะมีอาการไอมีเสมหะเรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี ผู้ป่วยมักจะไอหรือขากเสมหะในคอหลังจากตื่นนอนตอนเช้าเป็นประจำ จนนึกว่าเป็นเรื่องปกติและไม่ได้ใส่ใจดูแลรักษา ต่อมาจะเริ่มไอถี่ขึ้นตลอดทั้งวัน และมีเสมหะจำนวนมาก ในช่วงแรกเสมหะมีสีขาว ต่อมาอาจจะกลายเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีไข้ หรือหอบเหนื่อยเป็นครั้งคราวจากโรคติดเชื้อแทรกซ้อน

หากผู้ป่วยยังขืนสูบบุหรี่ต่อไป นอกจากอาการไอเรื้อรังดังกล่าวแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรงมาก (เช่น วิ่ง เดินขึ้นบันได ยกของหนัก) อาการหอบเหนื่อยจะค่อยๆ เป็นมากขึ้น แม้แต่เวลาเดินตามปกติ เวลาพูดหรือทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันก็จะรู้สึกเหนื่อยง่าย
หากผู้ป่วยยังสูบบุหรี่ต่อไป ในที่สุดอาการจะรุนแรง จนแม้แต่อยู่เฉยๆ ก็รู้สึกหอบเหนื่อย ทั้งนี้เนื่องจากถุงลมปอดพิการอย่างรุนแรง ไม่สามารถทำหน้าที่แลกเปลี่ยนอากาศ นำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้เกิดพลังงาน

ในระยะหลัง ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบหนักเป็นครั้งคราว เนื่องจากมีการติดเชื้อ (หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ) แทรกซ้อน ทำให้มีไข้ ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียว หายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ดๆ ตัวเขียว จนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

เมื่อเป็นถึงขั้นระยะรุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด รูปร่างผ่ายผอม มีอาการหอบเหนื่อย อยู่ตลอดเวลา มีอาการทุกข์ทรมานและรู้สึกท้อแท้

♦ การแยกโรค
อาการไอเรื้อรังหรือหอบเหนื่อย อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น

- หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากสาเหตุเดียวกับถุงลมปอดโป่งพอง ผู้ป่วยมักจะมีอาการไอ มีเสมหะอย่างเรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี แต่ยังไม่มีอาการหอบเหนื่อยง่าย

- โรคหืด ซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม ผู้ป่วยมักจะมีอาการหอบหืด (หายใจมีเสียงดังวี้ด) เป็นครั้งคราว ขณะไม่จับหืดก็จะรู้สึกสบายดี มักพบตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว

- ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ผู้ป่วยที่มักมีหัวใจบกพร่องในการทำหน้าที่สูบฉีดโลหิต (เช่น โรคลิ้นหัวใจรั่ว) จะมีอาการหอบเหนื่อยง่าย และเท้าบวมทั้ง 2 ข้าง เวลานอนราบ (หนุนหมอนต่ำ) ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากพบผู้ป่วยมีอาการไอเรื้อรัง หรือหอบเหนื่อยง่าย ก็ควรจะรีบไปปรึกษาแพทย์

♦ การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากประวัติและอาการแสดงของผู้ป่วย (ไอเรื้อรัง หอบเหนื่อยง่าย มีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน 10-20 ปี) และยืนยันการวินิจฉัย ด้วยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ ทดสอบสมรรถภาพของปอด ตรวจเลือด (วัดระดับออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด) ตรวจคลื่นหัวใจ เป็นต้น

♦ การดูแลตนเอง
ผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง หรือหอบเหนื่อยง่าย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด
หากตรวจพบว่าเป็นโรคถุงลมปอดโป่งพองก็ควรปฏิบัติดังนี้

- ติดตามการรักษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอและใช้ยารักษาให้ครบถ้วนตามที่แพทย์กำหนด
- เลิกบุหรี่อย่างเด็ดขาด
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีมลพิษ เช่น ฝุ่น ควัน
- ดื่มน้ำมากๆ วันละ 10-15 แก้ว เพื่อช่วยขับเสมหะ
- ในรายที่เป็นระยะรุนแรง มีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรหาทางบำรุงอาหารให้ร่างกายแข็งแรง
- หากจำเป็นควรมีถังออกซิเจนไว้ประจำบ้าน เพื่อใช้ช่วยหายใจ บรรเทาอาการหอบเหนื่อย
- หากมีอาการแทรกซ้อน เช่น เป็นไข้ หายใจหอบ ก็ควรรีบพาไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที

♦ การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาตามความรุนแรงของโรค
โดยทั่วไปจะให้ยาขยายหลอดลมชนิดสูดพ่น เวลามีอาการหายใจเหนื่อยหรือมีเสียงดังวี้ด ในรายที่เป็นมากอาจให้ยาสตีรอยด์ชนิดสูดพ่นร่วมด้วย

ในรายที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น มีไข้ ไอ มีเสมหะเหลืองหรือเขียว ก็จะให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน) นาน 7-10 วัน

ในรายที่มีอาการหอบรุนแรง ปอดอักเสบ หรือภาวะแทรกซ้อน (เช่น ปอดทะลุ หัวใจล้มเหลว) แพทย์ก็จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจต้องให้ออกซิเจน ใส่ท่อหายใจ และใช้เครื่องช่วยหายใจ

ในระยะรุนแรง ผู้ป่วยมักมีภาวะการหายใจล้มเหลวเรื้อรังร่วมด้วย และอาจมีภาวะหัวใจล้มเหลวแทรกซ้อน (มีอาการหอบเหนื่อย เท้าบวม)

นอกจากนี้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ปอดทะลุ (จากการที่ถุงลมแตก) ไอออกเป็นเลือด (จากการอักเสบของหลอดลม) ไส้เลื่อนกำเริบ (เนื่องจากอาการไอเรื้อรัง) เป็นต้น

♦ การดำเนินโรค
โรคนี้จะเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต และจำเป็นต้องพบแพทย์และใช้ยารักษาอย่างต่อเนื่อง

ในระยะที่เริ่มเป็น หากเลิกบุหรี่ได้เด็ดขาดก็มักจะได้ผลดี โรคจะไม่ลุกลามมากขึ้น แต่ถ้ายังสูบบุหรี่ต่อไป ก็จะลุกลามจนถึงระยะรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ดังกล่าว

ผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตจากภาวะการหายใจล้มเหลว ปอดอักเสบ หรือปอดทะลุ
โดยเฉลี่ย ผู้ป่วยมีอัตราตายมากกว่าร้อยละ 50 ใน 10 ปี หลังจากที่ได้รับการวินิจฉัย

♦ การป้องกัน
ที่สำคัญคือ ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีมลพิษในอากาศ

♦ ความชุก
โรคนี้พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง พบมากในช่วงอายุ 45-65 ปี ส่วนใหญ่จะมีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน

Business

  • การซื้อของผู้บริโภค - พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค หมายถึง พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคขึ้นสุดท้ายที่ซื้อสินค้าและบริการไปเพื่อกินเองใช้เอง หรือเพื่อกินหรือใช้ภายในครัวเรือน ผู้บ...
    3 ปีที่ผ่านมา
  • แนวข้อสอบพระราชบัญญัติปิโตรเลียม - 1. พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ให้ไว้ ณ วันใด ก. ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ค. ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ข. ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ง....
    7 ปีที่ผ่านมา

Blog M