Holiday-Tourismthailand

การจัดการการตลาดแนวใหม่

Custom Search

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

โรคแผลกระเพาะอาหาร

โรคแผลกระเพาะอาหาร
อาการสำคัญ
           - ปวดหรือจุกแน่นท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ หรือ หน้าท้องช่วงบน เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด มักเป็นเวลาท้องว่า หรือเวลาหิว อาการจึงเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน 


           - อาการปวดแน่นท้อง มักจะบรรเทาได้ด้วยอาหารหรือยาลดกรด
           - อาการปวด มักจะเป็นๆหายๆ โดยมีช่วงเว้นที่ปลอดอาการค่อนข้างนาน เช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปหลายเดือนจึงกลับมาปวดอีก
           - ปวดแน่นท้องกลางดึกหลังจากที่หลับไปแล้ว
           - แม้จะมีอาการเรื้อรังเป็นปี สุขภาพโดยทั่วไปจะไม่ทรุดโทรม
           - โรคแผลกระเพาะอาหารจะไม่กลายเป็นมะเร็ง แม้จะเป็นๆ หายๆ อยู่นานกี่ปีก็ตาม นอกจากจะเป็นแผลชนิดที่เกิดจากโรคมะเร็งของกระเพาะอาหารตั้งแต่แรกเริ่ม

กลากน้ำนม

กลากน้ำนม

กลากน้ำนมหรือเกลื้อนน้ำนม เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่พบมากในเด็กและวัยรุ่น ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย โดยเฉพาะเด็กที่มีสีผิวค่อนข้างเข้ม พบในผู้ใหญ่บ้างแต่น้อยกว่าพบในเด็ก

อาการกลากน้ำนม หรือเกลื้อนน้ำนม

เป็นรอยแดง อ่อนๆ  มีขนาด 0.5เซนติเมตร  –  4 เซนติเมตร  มีขอบเขตไม่จำกัด ต่อมามีลักษณะเป็นวงขาวเป็นดวงๆ หรือเห็นสีผิวดูจางกว่าบริเวณใกล้เคียงและมีขุยละเอียด พบบริเวณใบหน้าเป้นส่นใหญ่ เช่น บริเวรหน้าผาก ขอบตา แก้มปาก และอาจพบได้ที่บริเวณแขน ลำคอ และไหล่ สามารถพบร่วมกับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โดยมากไม่ค่อยมีอาการ แต่อาการมักจะเป็นมากขึ้นหลังตากแดด ตากลม หรือในหน้าร้อน
สาเหตุการเกิดไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่การที่เกิดรอยด่างเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีที่ชั้นหนังกำพร้าสร้างเม็ดสีลดลง ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดเป็นรอยขาวชัดเจนขึ้น อาจเกิดจากความแห้ง หรือมีการอักเสบของผิวหนัง การแพ้ลม แพ้แดด การขาดอาหาร หรือมีติดเชื้อแบคทีเรีย 

การรักษากลากน้ำนม หรือเกลื้อนน้ำนม

  1. ควรใช้สบู่อ่อนๆ เช่น สบู่เด็ก สบู่น้ำ ในการล้างทำความสะอาดบริเวณที่เป็น
  2. ทาครีมกันแดดที่มีSPFสูง และหลีกเลี่ยงแสงแดด กลากน้ำนมนี้จะเป็นๆหายๆ มักเป็นเรื้อรัง บางรายอาจมีอาการเป็นปี แต่ไม่เป็นอันตราย บางคนจะหายได้เอง และไม่ติดต่อไปยังผู้อื่น
  3. ทาครีมบำรุงผิวหรือใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ ที่มีฤทธิ์อ่อนๆ

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง

โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการปวดหลัง พบได้ตั้งแต่วัยหนุ่ม 
สาวเป็นต้นไป   เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และมักจะหายได้เอง แต่อาจเป็นๆ หาย ๆ  
เรื้อรังได้

สาเหตุ
มักเกิดจากการทำงานก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนัก นั่ง ยืน นอน    หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง 
ใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป หรือนอนที่นอนนุ่มเกินไป ทำให้เกิดแรงกดตรงกล้ามเนื้อสันหลัง
ส่วนล่าง ซึ่งจะมีอาการเกร็งตัว   ทำให้เกิดอาการปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง คนที่อ้วน   หรือ
หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ก็อาจมีอาการปวดหลังได้เช่นกัน 

อาการ
ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง (ตรงบริเวณกระเบนเหน็บ) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเฉียบพลัน
หรือค่อยเป็นทีละน้อย อาการปวดอาจเป็นอยู่ตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะในท่าบางท่า การไอ 
จาม หรือบิดตัว เอี้ยวตัวอาจทำให้รู้สึกปวดมากขึ้น    โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแข็งแรงดี และไม่มี
อาการผิดปกติอื่น ๆร่วมด้วย 

สิ่งตรวจพบ
มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร 

โรคเก๊าท์

รคเก๊าท์จัดเป็นโรคข้ออักเสบเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุดในมนุษย์ โรคนี้เกิดจากความผิดปกติในขบวนการเมตะบอลิสซั่มของกรดยูริกในร่างกาย เป็นผลให้กรดยูริกในเลือดมีค่าสูงกว่าปกติ เกิดการตกตะกอนเป็นผลึกเกลือยูเรต (monosodium urate) สะสมในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะข้อและไต
เมื่อมีอาการแสดงเต็มที่ จะประกอบไปด้วย
  1. อาการข้ออักเสบเฉียบพลัน
  2. โรคข้ออักเสบเรื้อรัง
  3. ทำให้ไตทำงานบกพร่อง
  4. การเกิดนิ่วกรดยูริกในทางเดินปัสสาวะ (uric acid stone)
  5. และการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
ในรายที่เรื้อรังการเกาะของเกลือ monosodium urate จะทำให้เกิดก้อนที่เรียกว่า Tophi ทำให้เกิดการอักเสบของข้อ เนื่องจากมีการเกาะของ เกลือ uric บริเวณข้อ และเอ็นหากเป็นเรื้อรังจะทำให้ข้อผิดรูปและเสียหน้าที่ในการทำงาน นอกจากนั้นยังทำให้หน้าที่ของไตเสื่อมและเกิดโรคนิ่วที่ไตด้วย

โรคเบาหวาน

โรคเบาหวานถือว่าเป็นโรคที่คนไทยป่วยกันมาก เป็นโรคยอดฮิต 1 ใน 10 ของโรคที่คุกคามคนไทยมากที่สุด พบได้ในทุกช่วงวัย และยังมีแนวโน้มที่จะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี  ทั้งนี้การเป็นโรคเบาหวานเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น อาหาร พฤติกรรมการใช้ชีวิต การออกกำลังกาย กรรมพันธุ์ เป็นต้น
เชื่อหรือไม่ว่า มีคนอีกจำนวนมากที่ป่วยด้วย โรคเบาหวาน แต่ไม่รู้ตัว ทำให้ละเลยการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี และอาจนำไปสู่โรคอื่นๆอันเป็นภาวะแทรกซ้อน ที่รุนแรงได้  การจะรู้ว่าคุณอยู่ในข่ายเสี่ยง โรคเบาหวาน หรือไม่ เริ่มจากการทำความเข้าใจโรค นี้อย่างถูกต้อง
โรคเบาหวาน เกิดจากการทำงานของ "ฮอร์โมนอินซูลิน" (Insulin)ของร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้ อินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆเพื่อไปใช้เป็นพลังงาน ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและเกิดการคั่งของน้ำตาลในเส้นเลือดแดงส่งผลให้อวัยวะต่างๆเสื่อม ซี่งอาการนี้จะส่งผลให้ เกิดโรคและอาการแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆได้
ประเภทของเบาหวาน
โรคเบาหวาน ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเกิดได้อย่างชัดเจน
1. เบาหวานเกิดจากการที่ตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินให้เพียงพอ เนื่องจากเบตาเซลล์(beta cells) ของตับอ่อนถูกทำลายด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงต้องได้รับอินซูลินด้วยการฉีดหรือใช้เครื่องปั๊มอินซูลิน
2. เบาหวาน เป็นเบาหวานที่พบเป็นส่วนใหญ่ เกิดจากการที่ตับอ่อนยังสามารถสร้างอินซูลินได้แต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ผู้ป่วยต้องมีการควบคุมอาหาร การใช้ยาชนิดกินหรือใช้อินซูลินชนิดฉีด
3. เบาหวานที่เกิดระหว่างการตั้งครรภ์ หลังคลอดระดับน้ำตาลในเลือดจะกลับเป็นปกติ แต่จะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคเบาหวาน มีรายงานได้ถึงร้อยละ 50 เมื่อติดตามต่อไป 10 ปี ถ้าไม่มีการปรับพฤติกรรมชีวิตในการลดความเสี่ยง
4. เบาหวานจากสาเหตุอื่นๆ เช่น โรคของตับอ่อน โรคทางพัรธุกรรม โรคเนื้องอกของต่อมหมวกไตที่สร้างฮอร์โมน ฯลฯ

Business

Blog M